
ไฟตก-ไฟกระชาก คืออะไร? และทำไมถึงเป็นอันตรายต่อเครื่องจักรในโรงงาน?
ไฟตก-ไฟกระชาก คือช่วงเวลาที่ปริมาณกระแสไฟฟ้าที่จ่ายเข้าเครื่องจักรไม่เพียงพอ หรือมีแรงดันสูงเกินเฉียบพลัน ส่งผลให้เครื่องจักรมีอาการติด ๆ ดับ ๆ หรือบางครั้งอาจจะหยุดทำงานไปโดยที่ยังไม่ได้ทำการปิดสวิตช์เครื่องจักรตามลำดับขั้นตอนอย่างถูกต้อง เกิดได้จากทั้งสาเหตุภายนอกอย่างสภาพอากาศ และสาเหตุภายในอย่างการวางระบบไฟฟ้าในโรงงานที่ไม่ได้มาตรฐาน
เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น จะยกตัวอย่างในกรณีเช่น วันที่อากาศแปรปรวน ฝนตก ฟ้าร้อง หรือมีฟ้าผ่า ไฟในบ้านมักจะดับไปชั่วขณะหนึ่ง ซึ่งไฟอาจดับเพียงครู่เดียวแล้วก็ติด แต่บางครั้งก็อาจกินเวลาหลายนาทีถึงหลักชั่วโมงเลยทีเดียว เช่นเดียวกันกับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีขนาดใหญ่อย่างเครื่องจักรในโรงงาน
ซึ่งการที่อุปกรณ์ไฟฟ้าอย่างเครื่องจักร หรือแม้แต่อุปกรณ์ที่ใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กต่าง ๆ ในโรงงานไม่ได้รับแรงดันไฟฟ้าในปริมาณที่เหมาะสม จนทำให้การทำงานหยุดชะงักกลางคันนั้นไม่ใช่เรื่องที่ควรมองข้าม เพราะจะทำให้อายุการใช้งานของเครื่องจักรสั้นลงจากการที่วงจรไฟฟ้าภายในได้รับผลกระทบ รวมถึงมีความร้อนสะสมอยู่ที่มอเตอร์เนื่องจากไม่ได้รับการระบายความร้อนอย่างเหมาะสม จึงอาจส่งผลให้มอเตอร์ไหม้ และทำให้เครื่องจักรเสียหายจากไฟตก-ไฟกระชากได้ในที่สุด
เข้าใจความต่างระหว่าง “ไฟตก” และ “ไฟกระชาก”
ถึงแม้ว่าปลายทางของไฟตกและไฟกระชากจะทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าใช้งานได้ไม่เต็มที่เหมือนกัน แต่ลักษณะของแรงดันไฟฟ้าและอาการแสดงของเครื่องจักรจะแตกต่างกัน
ไฟตก
ไฟตก เกิดจากแรงดันไฟฟ้าต่ำอย่างเฉียบพลัน ทำให้ปริมาณกระแสไฟฟ้าไม่เพียงพอสำหรับนำไปใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้า ส่งผลให้เครื่องจักรทำงานช้า เบาลง หรืออาจจะค่อย ๆ ดับ เป็นต้น
ไฟกระชาก
ไฟกระชาก เกิดจากมีแรงดันไฟฟ้าขาดหรือเกินขนาด 220V อย่างเฉียบพลัน ซึ่งแรงดันขนาด 220V เป็นแรงดันไฟฟ้าขนาดมาตรฐานของประเทศไทย เมื่อมีแรงดันไฟฟ้าขาด หรือเกินแบบเฉียบพลัน จะส่งผลให้เครื่องใช้ไฟฟ้ามีปริมาณไฟฟ้าเหวี่ยงคล้ายการกระชากไปมา ทำให้เครื่องจักรติด ๆ ดับ ๆ นั่นเอง
5 สัญญาณอันตราย! ที่บ่งชี้ว่าโรงงานของคุณกำลังมีปัญหาเรื่องระบบไฟฟ้า
เพื่อลดความเสี่ยงเครื่องจักรเสียหายจากปัญหาไฟตกในโรงงาน มาดูกันว่ามีสัญญาณเตือนอะไรบ้างที่บ่งชี้ได้ว่าระบบไฟฟ้าในโรงงานกำลังมีปัญหา โดยเรารวบรวมมาให้แล้วถึง 5 สัญญาณเตือน ดังนี้

สัญญาณที่ 1 : เครื่องจักรทำงานผิดปกติและหยุดชะงักบ่อยครั้ง
สัญญาณแรกที่เห็นได้ชัดที่สุดคือเครื่องจักรทำงานผิดปกติ ทำงานสะดุด หยุดชะงักกลางคันบ่อยครั้ง ซึ่งหากสังเกตได้ว่าเครื่องจักรในโรงงานเจอปัญหานี้อยู่บ่อย ๆ อาจเป็นไปได้ว่าระบบไฟฟ้าน่าจะกำลังมีปัญหา

สัญญาณที่ 2 : อุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ มีอายุการใช้งานสั้นลง
ถึงแม้ว่าอุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ เมื่อใช้งานไปแล้วสักพักก็จะมีการเสื่อมสภาพ แต่ถ้าสังเกตแล้วว่าอุปกรณ์ไฟฟ้าบางส่วน เช่น เซ็นเซอร์ หรือ PLC ดูเสื่อมเร็วผิดปกติ หรือใช้งานเพียงไม่นานก็เสียหาย ปัญหาเหล่านี้อาจมาจากการที่ระบบไฟฟ้ากำลังมีปัญหา

สัญญาณที่ 3 : ระบบแสงสว่างในพื้นที่การผลิตไม่เสถียร
อีกหนึ่งสัญญาณเตือนที่พบได้บ่อยมากที่สุดเมื่อเกิดปัญหาไฟตกในโรงงาน คือระบบไฟฟ้าที่ให้แสงสว่างไม่เสถียร ติด ๆ ดับ ๆ กะพริบบ่อย หรือมีบางจุดที่แสงไฟสว่างไม่สม่ำเสมอกัน หากเกิดสัญญาณเหล่านี้แม้ในช่วงที่สภาพอากาศปกติดี ก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ว่าระบบไฟฟ้ากำลังมีปัญหาอยู่แน่นอน

สัญญาณที่ 4 : มอเตอร์และคอมเพรสเซอร์ทำงานหนักผิดปกติ
สำหรับสัญญาณเตือนข้อที่ 4 นี้อาจจะต้องอาศัยการสังเกตบ่อยขึ้นเล็กน้อย เพราะการทำงานในโรงงานเป็นระยะเวลานาน อาจจะชินกับเสียงเครื่องจักรหรือมอเตอร์ต่าง ๆ จนไม่ทันสังเกตได้ โดยสัญญาณที่บ่งบอกได้ว่าระบบไฟฟ้าในโรงงานมีปัญหา คือ มอเตอร์ หม้อแปลงไฟฟ้า และคอมเพรสเซอร์ ซึ่งจะมีอาการแสดงคือเสียงดังผิดปกติ หรืออุณหภูมิสูง หากเจอปัญหาเหล่านี้ควรพิจารณาเปลี่ยนทันที และควรเรียกช่างเข้ามาตรวจสอบระบบไฟฟ้าโดยด่วน

สัญญาณที่ 5 : ค่าไฟฟ้าพุ่งสูงขึ้นอย่างไม่สมเหตุสมผล
และสำหรับสัญญาณเตือนข้อสุดท้ายที่บ่งบอกว่าระบบไฟฟ้าโรงงานมีปัญหา คือค่าไฟฟ้า เพราะถ้าหากระบบไฟฟ้าเสถียร มีการจ่ายแรงดันไฟฟ้าตามปกติ ไม่ขาดหรือเกิน บิลค่าไฟฟ้าก็จะออกมาเฉลี่ยแล้วเท่า ๆ กันทุกเดือนตามการใช้จริง แต่หากสังเกตว่าค่าไฟฟ้าพุ่งขึ้นสูงเกินปกติบ่อยครั้ง ทั้งที่ใช้ไฟฟ้าปริมาณเท่าเดิม อาจเป็นไปได้ว่าระบบไฟฟ้าในโรงงานกำลังเจอปัญหาไฟตก-ไฟกระชากอยู่
ผลกระทบจากปัญหาไฟตก-ไฟกระชากที่อาจคาดไม่ถึง และไม่ควรปล่อยไว้
ระบบไฟฟ้า ถือเป็นปัจจัยหลัก ๆ ในโรงงานที่สามารถทำให้กระบวนการต่าง ๆ ดำเนินไปอย่างราบรื่นตามเป้าหมายที่กำหนดได้ ดังนั้นหากระบบไฟฟ้าโรงงานมีปัญหา ไม่ว่าจะทั้งจากไฟตก-ไฟกระชาก หรือปัญหาอื่น ๆ ที่ทำให้เครื่องจักรทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ นอกจากปัญหาไฟตกในโรงงานจะทำให้การทำงานช้าลงแล้ว ยังอาจส่งผลกระทบดังต่อไปนี้ได้อีกด้วย
- ไลน์การผลิตเสียหาย เนื่องจากเครื่องจักรหยุดชะงักกลางคัน ทำให้การผลิตบางกระบวนการต้องคัดผลิตภัณฑ์ออก และอาจทำให้ไลน์การผลิตไม่ครบถ้วนได้
- คุณภาพสินค้าไม่ได้มาตรฐาน หากเครื่องจักรหยุดทำงาน อาจทำให้คุณภาพสินค้าบางตัวไม่ตรงตามมาตรฐานการผลิต ต้องคัดออกเพื่อไม่ให้เสี่ยงไปถึงมือลูกค้า
- อาจต้องเสียต้นทุนซ่อมบำรุงสูงขึ้น ในกรณีเครื่องจักรพัง ต้นทุนเครื่องจักรเครื่องใหม่ก็จะสูงกว่าการซ่อมบำรุงระบบไฟฟ้าตั้งแต่เนิ่น ๆ
- เสี่ยงอันตรายระหว่างการทำงาน โดยเฉพาะในเครื่องจักรที่ต้องทำงานร่วมกับแรงงานมนุษย์ เช่น เครื่องจักรหยุดทำงานในขณะที่มีพนักงานกำลังดำเนินงานอยู่
- ภาพลักษณ์ธุรกิจเสียหาย สินค้าไม่ได้คุณภาพ ไลน์การผลิตช้ากว่าปกติ สูญเสียความเชื่อใจจากพาร์ตเนอร์ธุรกิจ

แนวทางแก้ปัญหาไฟตกในโรงงาน ทำได้อย่างไรบ้าง?
การแก้ปัญหาไฟตกในโรงงานที่ดีที่สุดนั่นคือการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ซึ่งเป็นการแก้ไขในเชิงป้องกัน ลดความเสี่ยงเครื่องจักรเสียหายจากไฟตก รวมถึงลดการเกิดปัญหาไฟตก-ไฟกระชากจากการใช้ไฟฟ้ามากเกินไป โดยสามารถแก้ไขได้หลากหลายวิธี และสามารถทำได้ตั้งแต่การวางระบบไฟฟ้า การตรวจระบบไฟฟ้าประจำปีตามกำหนด การใช้หม้อแปลงไฟฟ้าที่มีคุณภาพ และการติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันไฟกระชาก (Surge Protection) ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยลดแรงดันไฟฟ้าในขณะที่เกิดไฟกระชาก
อย่างไรก็ตามระบบไฟฟ้าที่ได้มาตรฐานและมีคุณภาพก็ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการป้องกันความเสี่ยงต่าง ๆ คุณจึงควรใช้บริการบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านไฟฟ้าโดยเฉพาะ มีทีมช่างที่ได้ใบรับรองอย่างถูกต้อง อย่างทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญจากณัฐภูมิ วิศวกรรม ที่สามารถวิเคราะห์และทำการแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด ทั้งการออกแบบระบบไฟฟ้า หรือการตรวจสอบระบบไฟฟ้าโรงงาน ทำให้วางใจได้ว่าระบบไฟฟ้าในโรงงานของคุณจะตรงตามมาตรฐาน และมีความปลอดภัยตลอดการใช้งาน
อ่านบทความน่าสนใจเพิ่มเติม :ประโยชน์ของการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (PM) ระบบไฟฟ้าโรงงานที่ควรรู้

การลงทุนกับระบบไฟฟ้า คือการลงทุนที่ยั่งยืน ปลอดภัย ลดความเสี่ยงระยะยาว
ปัญหาไฟตก-ไฟกระชากในโรงงาน เกิดได้จากทั้งปัจจัยภายนอกอย่างสภาพอากาศ และปัจจัยภายในอย่างระบบไฟฟ้าที่ไม่ได้คุณภาพ ซึ่งนอกจากจะทำให้เครื่องจักรเสี่ยงพังเสียหายเร็วกว่าปกติแล้ว ยังอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจในหลาย ๆ ด้านอีกด้วย
เพื่อป้องกันไม่ให้โรงงานต้องพบความเสี่ยงระหว่างการดำเนินงาน การวางแผนป้องกันไฟกระชากในโรงงานไว้ตั้งแต่ต้นเหตุ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการควรให้ความใส่ใจ และลงทุนกับระบบไฟฟ้าในโรงงาน ช่วยลดความเสี่ยงเครื่องจักรเสียหาย และยังได้ระบบไฟฟ้าที่มีความเสถียรภาพอีกด้วย
ณัฐภูมิ วิศวกรรม พร้อมเป็นพันธมิตรด้านระบบไฟฟ้าที่ไว้วางใจได้สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมของคุณ ด้วยบริการตรวจสอบ ซ่อมบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าเชิงป้องกัน โดยทีมวิศวกรคุณภาพผู้เชี่ยวชาญด้านระบบไฟฟ้า ดำเนินงานด้วยอุปกรณ์ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานอย่างถูกต้อง ให้คุณมั่นใจได้ว่า เรื่องระบบไฟฟ้าคุณภาพ ต้อง ณัฐภูมิ วิศวกรรม เท่านั้น
ปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ติดต่อเรา
หรือโทร 098-291-4911 และแอดไลน์@npeng
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับปัญหาไฟตกในโรงงาน
1. การลงทุนในระบบไฟฟ้าเพื่อป้องกันไฟตก-ไฟกระชาก คุ้มค่าจริงไหม?
การลงทุนเรื่องระบบไฟฟ้า ถือเป็นการป้องกันความเสียหายในระยะยาว เพราะหากปล่อยให้เกิดปัญหาไฟตก-ไฟกระชากบ่อย ๆ อาจทำให้เครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้าเสียหาย ซึ่งค่าซ่อมหรือต้นทุนค่าเปลี่ยนเครื่องจักรอาจสูงกว่าค่าบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าเชิงป้องกันมาก
2. ถ้าโรงงานของเราเคยมีปัญหาไฟกระชากเป็นครั้งคราว ยังถือว่าปกติไหม?
หากมีปัญหาไฟกระชากแม้เพียงครั้งคราว ถือว่าผิดปกติ เพราะไฟกระชากสามารถทำให้อุปกรณ์ภายในเครื่องจักรเกิดความเสียหายสะสม (Hidden Damage) ซึ่งจะทำให้เครื่องจักรหยุดทำงาน หรือพังเสียหายได้ในที่สุด
3. สัญญาณเตือน เช่น ไฟกระพริบ หรือเครื่องจักรทำงานผิดปกติ สามารถเกิดจากปัจจัยอื่นได้ไหม?
หากไฟบนเครื่องจักรกระพริบ อาจเกิดจากปัจจัยอื่น ๆ นอกจากระบบไฟฟ้าได้ เช่น การใช้งานเกินขีดจำกัด เสียบปลั๊กหลวม หรือเครื่องจักรเสื่อมสภาพ
4. โรงงานขนาดเล็ก หรือขนาดกลางที่มีงบจำกัด มีวิธีแก้ไขปัญหาไฟตก-ไฟกระชากเบื้องต้นหรือไม่?
สามารถทำได้โดยการติดเครื่องป้องกันไฟกระชาก (Surge Protector)ที่มักจะเป็นส่วนประกอบอยู่ในปลั๊กพ่วงคุณภาพสูง และหมั่นทำการตรวจสอบและบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าเป็นประจำทุกปี เพื่อลดความเสี่ยงเกิดปัญหาในระบบไฟฟ้า ซึ่งเป็นสาเหตุของไฟตก-ไฟกระชากได้
