แผงโซล่าเซลล์คืออะไร?
แผงโซล่าเซลล์ (Solar Panel) คืออุปกรณ์ที่มีลักษณะเป็นแผงเรียบ ทำหน้าที่แปลงพลังงานแสงอาทิตย์ให้กลายเป็นพลังงานไฟฟ้า โดยพลังงานไฟฟ้าที่ได้จะเป็นไฟฟ้ากระแสตรง (DC) สามารถนำไปใช้งานทันทีหรือเก็บไว้ในแบตเตอรี่ หรือแปลงเป็นไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) ผ่านอินเวอร์เตอร์เพื่อนำไปใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไป
แผงโซล่าเซลล์ถือเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้ผลิตไฟฟ้าใช้เองจากแหล่งพลังงานธรรมชาติที่ไม่มีวันหมด ทั้งยังช่วยลดค่าไฟและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หลักการทำงานของแผงโซล่าเซลล์
หลักการทำงานของแผงโซล่าเซลล์อาศัยกระบวนการที่เรียกว่า “โฟโตโวลตาอิก” (Photovoltaic Effect) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเซลล์แสงอาทิตย์ (Solar Cell) ที่มักทำจากวัสดุเซมิคอนดักเตอร์ เช่น ซิลิคอน ถูกแสงแดดตกกระทบ
พลังงานจากแสงจะกระตุ้นให้อิเล็กตรอนในวัสดุเกิดการเคลื่อนที่ ส่งผลให้เกิดความต่างศักย์ทางไฟฟ้าระหว่างสองขั้วของเซลล์ เมื่อมีการเชื่อมต่อวงจรไฟฟ้า กระแสไฟฟ้ากระแสตรง (DC) ก็จะไหลออกจากแผงโซล่าเซลล์ จากนั้นระบบจะส่งไฟฟ้าไปยังอินเวอร์เตอร์ (Inverter) เพื่อแปลงเป็นไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) ที่สามารถใช้งานกับเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไปได้ทันที หรือเก็บไว้ในแบตเตอรี่เพื่อใช้ในช่วงที่ไม่มีแสงแดด เช่น ตอนกลางคืน หลักการนี้จึงเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้แผงโซล่าเซลล์สามารถผลิตพลังงานสะอาดได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
อ่านบทความน่าสนใจ:Solar Rooftop โรงงานดีอย่างไร? เจาะลึกประโยชน์ ต้นทุน และผลตอบแทนที่เจ้าของโรงงานควรรู้
แผงโซล่าเซลล์มีกี่แบบ?
โดยทั่วไปแล้วชนิดของแผงโซล่าเซลล์ที่นิยมใช้ในตลาดและมีประสิทธิภาพสูง จะมีอยู่ 3 ประเภท ดังนี้
1. แผงโซล่าเซลล์ชนิดโมโนคริสตัลไลน์ (Monocrystalline Silicon)
เป็นแผงโซล่าเซลล์ที่ผลิตจากผลึกซิลิคอนบริสุทธิ์เดี่ยว ๆ (Single Crystal Silicon) ทำให้เซลล์มีสีดำเข้มเป็นเนื้อเดียวกัน มองเห็นเป็นแผ่นเรียบสวยงาม มีประสิทธิภาพในการแปลงแสงอาทิตย์เป็นไฟฟ้าได้สูงถึง 18-24% หรือมากกว่านั้น และสามารถผลิตไฟฟ้าได้แม้ในสภาพแสงแดดที่ไม่จัด หรือช่วงเช้า-เย็น
ข้อดี
- ประสิทธิภาพในกาผลิตไฟฟ้าสูง ใช้พื้นที่ในการติดตั้งน้อยกว่าเพื่อให้ได้กำลังไฟฟ้าเท่ากัน
- มีอายุการใช้งานยาวนาน โดยทั่วไปสามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพถึง 25 ปีขึ้นไป
- ทำงานได้ดีแม้ในสภาพแสงแดดไม่จัด ฟ้าครึ้ม มีเมฆ มีหมอก หรือวันฝนตก
ข้อเสีย
- ราคาสูงที่สุดในบรรดาแผงทั้งหมด
- หากแผงสกปรกหรือมีบางส่วนถูกบังแสง ประสิทธิภาพโดยรวมของแผงนั้นอาจลดลงอย่างเห็นได้ชัด
เหมาะสำหรับ
- บ้านอยู่อาศัยที่มีพื้นที่หลังคาจำกัดแต่ต้องการผลิตไฟฟ้าให้ได้มากที่สุด
- โรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่หรืออาคารพาณิชย์ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อลดค่าไฟฟ้าจำนวนมาก
2. แผงโซล่าเซลล์ชนิดโพลีคริสตัลไลน์ (Polycrystalline Silicon)
เป็นแผงโซล่าเซลล์ที่ผลิตจากเศษซิลิคอนที่หลอมรวมกันแล้วทำให้แข็งตัวในลักษณะของผลึกหลายเม็ด มีลักษณะเป็นแผงสีน้ำเงินเข้มหรือฟ้าน้ำทะเล มีกระบวนการผลิตง่ายและใช้พลังงานน้อยกว่าแผงโซล่าเซลล์ชนิด Monocrystalline มีประสิทธิภาพในการแปลงแสงอาทิตย์เป็นไฟฟ้าประมาณ 15 – 18% ทำงานได้ดีในพื้นที่แสงแดดจัดตลอดวันอย่างในประเทศไทย
ข้อดี
- ราคาถูกกว่าแผงโซล่าเซลล์ชนิด Monocrystalline ทำให้ประหยัดต้นทุนเริ่มต้น
- ทนทานต่ออุณหภูมิสูงได้ดีในระดับหนึ่ง
- หากมีบางส่วนถูกบังแสง ประสิทธิภาพโดยรวมของแผงนั้นจะลดลงน้อยกว่าแผงโซล่าเซลล์ชนิด Monocrystalline
ข้อเสีย
- ต้องการพื้นที่ในการติดตั้งมากกว่าเพื่อให้ได้กำลังไฟฟ้าเท่ากัน
- ประสิทธิภาพในการแปลงแสงอาทิตย์เป็นไฟฟ้าน้อยกว่าแผงโซล่าเซลล์ชนิด Monocrystalline เล็กน้อย
เหมาะสำหรับ
- บ้านอยู่อาศัยและโรงงานขนาดเล็ก-กลางที่มีพื้นที่เพียงพอ และต้องการติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ในราคาที่คุ้มค่า
3. แผงโซล่าเซลล์ชนิดฟิล์มบาง (Thin-Film Solar Cell)
เป็นแผงโซล่าเซลล์ที่ใช้วัสดุกึ่งตัวนำอย่างแอมอร์ฟัสซิลิคอน (a-Si), แคดเมียมเทลลูไรด์ (CdTe) หรือซีไอจีเอส (CIGS) เคลือบบนวัสดุพื้นผิวที่ยืดหยุ่นได้ เช่น แผ่นโลหะหรือพลาสติก ทำให้แผงมีน้ำหนักเบา ติดตั้งง่าย และโค้งงอได้ในบางรุ่น เหมาะกับงานสถาปัตย์หรือพื้นที่เฉพาะ เช่น ผนังอาคารหรือกระจก แต่มีประสิทธิภาพใรการแปลงแสงอาทิตย์เป็นไฟฟ้าต่ำกว่าประเภทอื่น (ประมาณ 10 – 13%) และเสื่อมสภาพเร็วกว่า จึงมักใช้ในงานชั่วคราวหรืองานที่เน้นความยืดหยุ่นในการออกแบบมากกว่าประสิทธิภาพการผลิตไฟฟ้าสูงสุด
ข้อดี
- น้ำหนักเบา สามารถโค้งงอ ติดตั้งได้หลากหลายรูปแบบ
- ราคาย่อมเยาที่สุด
ข้อเสีย
- ประสิทธิภาพใรการแปลงแสงอาทิตย์เป็นไฟฟ้าต่ำกว่าแผงโซล่าเซลล์ประเภทอื่น
- เสื่อมสภาพเร็ว
เหมาะสำหรับ
- งานเฉพาะทางที่ต้องการความยืดหยุ่นสูง หรือพื้นที่ขนาดใหญ่มาก ๆ ที่ไม่จำกัดเรื่องพื้นที่
นอกจากแผงแผงโซล่าเซลล์ทั้ง 3 ชนิดข้างต้นแล้ว ปัจจุบันยังมีการพัฒนาแผงโซล่าเซลล์ชนิดใหม่ ๆ ขึ้นมาหลายประเภท เช่น PERC, Bifacial, HJT เป็นต้น ซึ่งเป็นเทคโนโลยีต่อยอดจากแผงซิลิคอนแบบเดิม ตัวอย่างเช่นแผงโซล่าเซลล์ชนิด PERC (Passivated Emitter Rear Contact) ที่เพิ่มชั้นสะท้อนแสงด้านหลังให้ดูดซับแสงได้มากขึ้น หรือBifacial ที่สามารถรับแสงได้ทั้งสองด้าน ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไฟได้ดีกว่าแบบทั่วไป เหมาะกับการติดตั้งในพื้นที่เปิดโล่งหรือโซล่าฟาร์มที่มีการสะท้อนแสงจากพื้นผิวสูง แม้จะมีราคาสูง แต่ให้ประสิทธิภาพที่คุ้มค่าสำหรับการผลิตไฟฟ้าในภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่
อ่านบทความน่าสนใจ:ผู้ประกอบการต้องรู้ 9 ข้อควรระวัง ในการติดตั้งโซล่าเซลล์โรงงาน
ข้อควรพิจารณาในการเลือกติดตั้งแผงโซล่าเซลล์
แม้ว่าแผงโซล่าเซลล์จะเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยประหยัดพลังงานและลดค่าไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่การติดตั้งให้ได้ผลลัพธ์คุ้มค่าสูงสุดจำเป็นต้องคำนึงถึงปัจจัยหลายด้าน โดยข้อควรพิจารณาหลัก ๆ มีดังนี้
พื้นที่ติดตั้ง
ตรวจสอบว่ามีพื้นที่เพียงพอหรือไม่ เช่น บนหลังคา ผนัง หรือพื้นดิน พื้นที่ควรหันรับแดดได้เต็มวันและไม่มีร่มเงาบดบัง เพื่อให้แผงทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
งบประมาณ
แผงโซล่าที่มีประสิทธิภาพสูงมักมีราคาสูงกว่า ควรพิจารณาความคุ้มค่าในระยะยาว ไม่ใช่เพียงราคาติดตั้งเริ่มต้น และอย่าลืมรวมต้นทุนระบบอื่น เช่น อินเวอร์เตอร์ แบตเตอรี่ และค่าติดตั้ง
ประเภทของแผงที่เหมาะสม
เลือกชนิดของแผงให้เหมาะกับการใช้งาน เช่น พื้นที่น้อยควรใช้โมโนคริสตัลไลน์ ถ้าต้องการต้นทุนต่ำอาจเลือกโพลีคริสตัลไลน์ หรือหากต้องการดีไซน์ยืดหยุ่นก็อาจพิจารณาฟิล์มบาง
คุณภาพของอุปกรณ์และการรับประกัน
ตรวจสอบมาตรฐานผลิตภัณฑ์ การรับประกันจากผู้ผลิต และชื่อเสียงของแบรนด์ เพื่อป้องกันปัญหาในระยะยาว และมั่นใจว่าแผงจะมีอายุการใช้งานยาวนาน
ความต้องการกำลังไฟฟ้า
ประเมินการใช้ไฟฟ้าเฉลี่ยต่อวันของบ้าน อาคาร หรือโรงงาน เช่น ใช้ไฟวันละกี่หน่วย (kWh) หรือมีอุปกรณ์ไฟฟ้าหลัก ๆ กี่ชนิด เพื่อคำนวณขนาดระบบที่เหมาะสม หากระบบเล็กเกินไปจะผลิตไฟไม่พอ แต่ถ้าใหญ่เกินจำเป็นจะทำให้ต้นทุนสูงโดยไม่คุ้มค่า
เป้าหมายการลงทุน
ต้องการคืนทุนเร็ว, เน้นประสิทธิภาพสูงสุด, หรือเน้นความคุ้มค่าด้านราคา
– สำหรับผู้ประกอบการโรงงาน ร้านอาหาร หรือหน่วยงานราชการ:การติดตั้งโซล่าเซลล์โรงงานส่วนใหญ่มักเน้นที่ประสิทธิภาพและการประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว ดังนั้นแผงโซล่าเซลล์ชนิด Monocrystalline มักเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมและได้รับความนิยมเพราะให้ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ที่ดีเยี่ยมในระยะยาว ช่วยลดค่าไฟฟ้าได้อย่างมหาศาล และยังสามารถใช้ระบบSolar PPA (Power Purchase Agreement) เพื่อลดภาระการลงทุนเริ่มต้นได้อีกด้วย
– สำหรับบ้านอยู่อาศัยหรือธุรกิจขนาดเล็ก: หากมีพื้นที่หลังคาเพียงพอและต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายเริ่มต้น แผงโซล่าเซลล์ชนิด Polycrystalline ก็เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ามาก ให้ประสิทธิภาพที่เพียงพอต่อการลดค่าไฟฟ้าในครัวเรือนอย่างเห็นได้ชัด
เลือกบริษัทติดตั้งที่น่าเชื่อถือ
ผู้ติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ควรมีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ มีใบอนุญาตถูกต้อง และสามารถให้บริการหลังการขายได้อย่างครบวงจร เพื่อให้ระบบโซล่าเซลล์ทำงานได้อย่างต่อเนื่องและปลอดภัย
ข้อพิจารณาเหล่านี้จะช่วยให้คุณเลือกติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ได้เหมาะสมกับพื้นที่ งบประมาณที่มี และการใช้งาน ช่วยประหยัดค่าไฟและเพิ่มความคุ้มค่ากับเงินลงทุนในระยะยาว
อ่านบทความน่าสนใจ:เปรียบเทียบการติดตั้งโซล่าเซลล์แบบ PPA, Private PPA, ลงทุนเอง แบบไหนเหมาะกับบ้านและธุรกิจของคุณ
ณัฐภูมิ วิศวกรรม ผู้เชี่ยวชาญโซล่าเซลล์ครบวงจรที่คุณไว้วางใจได้
สำหรับธุรกิจที่กำลังมองหาบริการติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ หรือยังลังเลว่าจะเลือกติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ชนิดใดให้เหมาะกับบ้านหรือธุรกิจของตัวเองณัฐภูมิ วิศวกรรม พร้อมเป็นที่ปรึกษาและพาร์ตเนอร์ด้านพลังงานที่คุณไว้ใจได้
เรามีทีมวิศวกรมากประสบการณ์ที่พร้อมดูแลทุกขั้นตอนตั้งแต่การให้คำปรึกษา วิเคราะห์ความคุ้มค่า ออกแบบ ไปจนถึงติดตั้งระบบโซล่าเซลล์ที่ตอบโจทย์การใช้งาน พร้อมบริการดูแลและบำรุงรักษาในระยะยาว เพื่อให้แผงโซล่าเซลล์ของคุณทำงานเต็มประสิทธิภาพต่อเนื่องนานนับสิบปี
เริ่มต้นลงทุนในโซลาร์เซลล์วันนี้เพื่อการประหยัดพลังงานที่มากกว่าและลดต้นทุนในระยะยาว ทั้งยังได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยสิ่งแวดล้อมและช่วยโลกให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น
ปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ติดต่อเรา
หรือโทร 098-291-4911 และแอดไลน์@npeng
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับแผงโซล่าเซลล์
1. แผงโซล่าเซลล์ผลิตไฟได้จริงไหมในวันที่ไม่มีแดด?
แผงโซล่าเซลล์สามารถผลิตไฟฟ้าได้แม้ในวันที่มีเมฆหรือฟ้าครึ้ม แต่อาจมีประสิทธิภาพลดลงเมื่อแสงอาทิตย์ไม่สว่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม ระบบที่มีแบตเตอรี่สำรองสามารถเก็บไฟไว้ใช้ในช่วงเวลาดังกล่าวได้
2. อายุการใช้งานของแผงโซล่าเซลล์อยู่ได้นานแค่ไหน?
โดยทั่วไปแผงโซล่าเซลล์มีอายุการใช้งานเฉลี่ย 25 – 30 ปี และแม้หลังจากนั้นก็ยังสามารถผลิตไฟได้อยู่ เพียงแต่อาจมีประสิทธิภาพลดลงประมาณ 15 – 20% จากช่วงปีแรก ๆ
3. แผงโซล่าเซลล์ต้องดูแลบ่อยแค่ไหน?
การดูแลแผงโซล่าเซลล์ค่อนข้างง่าย โดยควรทำความสะอาดพื้นผิวประมาณ 2 – 3 ครั้งต่อปี เพื่อป้องกันฝุ่นหรือคราบสกปรกที่ลดประสิทธิภาพการรับแสง นอกจากนี้ควรตรวจสอบระบบไฟฟ้าและอินเวอร์เตอร์ตามรอบที่ผู้ติดตั้งแนะนำ
4. การติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ต้องขออนุญาตหรือไม่?
ในกรณีที่ติดตั้งเพื่อใช้ไฟเอง (On-Grid หรือ Hybrid) และต้องการเชื่อมต่อกับระบบไฟฟ้าของการไฟฟ้า จำเป็นต้องขออนุญาตและดำเนินการตามขั้นตอนของการไฟฟ้าด้วย
5. ติดแผงโซล่าเซลล์แล้วช่วยลดค่าไฟได้มากแค่ไหน?
ขึ้นอยู่กับขนาดระบบและพฤติกรรมการใช้ไฟ โดยทั่วไปสามารถลดค่าไฟได้ตั้งแต่ 30 – 90% หากติดตั้งอย่างเหมาะสม และเลือกขนาดระบบที่ตรงกับความต้องการใช้งานในแต่ละวัน