ความแตกต่างที่สำคัญของการ PM ระบบไฟฟ้า
แม้วัตถุประสงค์ในการ PM ระบบไฟฟ้าของทั้งโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารสำนักงานจะเหมือนกันคือเพื่อป้องกันหรือลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในระบบไฟฟ้า แต่ทั้งสองรูปแบบสถานที่ก็มีความแตกต่างกันในแง่ของสภาพแวดล้อมในการใช้งาน ทำให้การวางแผนและดำเนินงาน PM ระบบไฟฟ้าจำเป็นต้องออกแบบให้เหมาะสมกับแต่ละบริบทเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้งานและความปลอดภัย โดยความแตกต่างสำคัญมีดังนี้
1. ความถี่ในการตรวจสอบและระดับความละเอียด
โรงงานอุตสาหกรรม
ด้วยความซับซ้อนของระบบและความสำคัญของกระบวนการผลิต ทำให้โรงงานอุตสาหกรรมต้องมีรอบการบำรุงรักษาที่ถี่กว่า เช่น อาจต้องตรวจเช็กอุปกรณ์เป็นรายเดือนหรือรายไตรมาสในจุดที่มีความสำคัญสูง เช่น อุปกรณ์ควบคุมแรงดัน ระบบป้องกันไฟฟ้าขัดข้อง และสายไฟขนาดใหญ่ที่รับโหลดสูง
การ PM จะครอบคลุมรายการตรวจสอบที่ละเอียดกว่า เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่มีมูลค่าสูง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อกระบวนการผลิตโดยรวม
อาคารสำนักงาน
การ PM ระบบไฟฟ้าอาคารสำนักงานมักทำตามรอบ 6 เดือนหรือ 1 ปี โดยมุ่งเน้นการดูแลระบบหลักอย่างตู้เมนเบรกเกอร์ (MDB) ตู้ควบคุมย่อย ระบบสำรองไฟ และอุปกรณ์ที่ใช้ในชีวิตประจำวันภายในสำนักงาน เช่น ระบบแสงสว่าง ระบบปรับอากาศ และระบบเต้ารับไฟฟ้า เป็นต้น
ความถี่ในการตรวจสอบจะน้อยกว่า เช่นเดียวกับรายการตรวจสอบที่จะไม่ละเอียดเท่าการ PM ระบบไฟฟ้าโรงงานอุตสาหกรรม

2.เครื่องมือและเทคโนโลยีที่ใช้ในกระบวนการ PM
โรงงานอุตสาหกรรม
การ PM ระบบไฟฟ้าโรงงานอุตสาหกรรมต้องพึ่งพาเครื่องมือเฉพาะทาง เช่น กล้องถ่ายภาพความร้อน (Thermal Camera) สำหรับตรวจสอบอุณหภูมิผิดปกติภายในแผงควบคุมหรือหม้อแปลง และเครื่องวิเคราะห์คุณภาพไฟฟ้า (Power Quality Analyzer) สำหรับจับคลื่นไฟฟ้าผิดรูปหรือฮาร์มอนิก และความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้า หรือเครื่องมือทดสอบฉนวนไฟฟ้าแรงสูง
อาคารสำนักงาน
การ PM ระบบไฟฟ้าอาคารสำนักงานโดยทั่วไปจะใช้เครื่องมือพื้นฐาน เช่น มัลติมิเตอร์และแคลมป์มิเตอร์เพื่อตรวจวัดแรงดันและกระแส รวมถึงการตรวจเช็กด้วยสายตาหรือการใช้อุปกรณ์สำรองไฟแบบง่าย
3. ลักษณะการใช้งานและประเภทโหลดไฟฟ้า
โรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานอุตสาหกรรมมักมีโหลดไฟฟ้าขนาดใหญ่ หลากหลาย และซับซ้อน เช่น มอเตอร์กำลังสูง เตาอุตสาหกรรม หรือระบบทำความเย็น ซึ่งมีการสตาร์ทและหยุดบ่อยครั้ง ส่งผลให้เกิดกระแสกระชาก (Inrush Current) และคลื่นรบกวน ทำให้เกิดความเครียดสะสมกับอุปกรณ์ไฟฟ้ามากกว่า และต้องการการออกแบบและควบคุมอย่างระมัดระวัง
อาคารสำนักงาน
ระบบไฟฟ้าในอาคารสำนักงานโดยมากจะรองรับโหลดที่เสถียรและค่อนข้างสม่ำเสมอ เช่น ระบบแสงสว่าง คอมพิวเตอร์ และเครื่องปรับอากาศ อุปกรณ์เหล่านี้มักมีพฤติกรรมการใช้ไฟที่ไม่ซับซ้อนและมีโหลดไฟฟ้าคงที่ แม้จะมีการใช้ไฟฟ้าตลอดวันทำการแต่ความซับซ้อนและขนาดของโหลดมักจะน้อยกว่าโรงงานอุตสาหกรรมมาก

4.ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากความขัดข้องของระบบไฟฟ้า
โรงงานอุตสาหกรรม
ในโรงงานอุตสาหกรรมระบบไฟฟ้าที่ล่มหรือหยุดชะงักเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ อาจสร้างความเสียหายรุนแรงทั้งต่อเครื่องจักร วัตถุดิบ หรือกระบวนการผลิตที่หยุดนิ่ง ส่งผลต่อยอดผลิตและรายได้ของกิจการอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่ต่อตัวผู้ปฏิบัติงานที่ต้องระวังเป็นพิเศษเมื่อเกี่ยวข้องกับไฟฟ้าแรงสูง
อาคารสำนักงาน
ในอาคารสำนักงานแม้ความเสียหายทางกายภาพอาจไม่มากแต่ผลกระทบที่ตามมา เช่น ระบบคอมพิวเตอร์ดับ การสื่อสารล่ม หรือเครื่องปรับอากาศไม่ทำงาน ก็สามารถรบกวนการทำงานประจำวันและสร้างความไม่สะดวกให้พนักงานได้อย่างมาก รวมถึงทำให้เกิดโอกาสทางธุรกิจที่สูญเสียไป แต่โดยทั่วไปแล้วความเสียหายทางกายภาพหรือความเสี่ยงต่อชีวิตมักจะน้อยกว่าโรงงาน
5. ความรู้และมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับผู้ดำเนินการ
โรงงานอุตสาหกรรม
การ PM ระบบไฟฟ้าโรงงานอุตสาหกรรมต้องดำเนินการโดยวิศวกรไฟฟ้าหรือช่างเทคนิคที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง โดยต้องมีความเข้าใจลึกซึ้งในระบบไฟฟ้ากำลังและเครื่องจักร รวมถึงปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยกฎหมายตรวจสอบระบบไฟฟ้าประจำปี และกฎหมายอุตสาหกรรม เช่น พ.ร.บ. ความปลอดภัยในการทำงาน อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน
อาคารสำนักงาน
การ PM ระบบไฟฟ้าอาคารสำนักงานต้องใช้บุคลากรที่มีความรู้พื้นฐานด้านระบบไฟฟ้า และปฏิบัติตามมาตรฐานที่กำหนดเช่นเดียวกัน แต่ข้อกำหนดทางกฎหมายและความซับซ้อนของระบบโดยรวมอาจไม่สูงเท่าโรงงานอุตสาหกรรม
อ่านบทความน่าสนใจ:วางแผน PM ระบบไฟฟ้าอย่างมืออาชีพ ธุรกิจเดินต่อไม่มีสะดุด ทุกโรงงาน อาคาร ร้านอาหารควรรู้

ณัฐภูมิ วิศวกรรม ให้บริการ PM ระบบไฟฟ้าโดยวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ
การ PM ระบบไฟฟ้าจำเป็นต้องอาศัยความเข้าใจในลักษณะเฉพาะของแต่ละสถานที่ หากเลือกผู้ให้บริการที่ไม่มีความเชี่ยวชาญในสภาพแวดล้อมของธุรกิจ อาจทำให้ตรวจสอบไม่ครบถ้วน มองข้ามจุดเสี่ยงที่สำคัญ หรือกระทั่งทำให้ระบบไฟฟ้าเกิดปัญหาใหม่ที่ไม่ควรเกิดขึ้น
ณัฐภูมิ วิศวกรรม ตระหนักดีถึงความแตกต่างในการใช้งานระบบไฟฟ้าระหว่างอาคารประเภทต่าง ๆ เรามีทีมช่างและวิศวกรไฟฟ้าที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ พร้อมให้บริการตรวจเช็กและPM ระบบไฟฟ้าที่ออกแบบให้เหมาะสมกับระดับความซับซ้อนและความถี่ที่จำเป็นทั้งสำหรับโรงงานที่มีโหลดสูง ไปจนถึงอาคารสำนักงานที่ต้องการความแม่นยำและต่อเนื่องในการดูแล
บริการตรวจสอบและรับรองระบบไฟฟ้าประจำปีของเราดำเนินการโดยวิศวกรที่มีใบอนุญาต พร้อมยึดหลักเกณฑ์ตามกฎหมายและมาตรฐานความปลอดภัยที่ใช้กับแต่ละประเภทอาคาร ช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่า ระบบไฟฟ้าของสถานประกอบการอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน ปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน และใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพและสูงสุด เพื่อการทำงานที่ราบรื่น มั่นคง และยั่งยืนในระยะยาว
ปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ติดต่อเรา
หรือโทร 098-291-4911 และแอดไลน์@npeng
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการ PM ระบบไฟฟ้า
1. การ PM ระบบไฟฟ้าควรทำบ่อยแค่ไหน?
ขึ้นอยู่กับลักษณะของสถานที่และความซับซ้อนของระบบ โดยทั่วแล้ว อาคารสำนักงานมักทำปีละ 1–2 ครั้ง ส่วนโรงงานอุตสาหกรรมอาจต้องทำรายไตรมาสหรือแม้กระทั่งรายเดือนในจุดที่สำคัญ
2. ทำไมต้องมีการ PM ระบบไฟฟ้าทั้งที่ระบบยังใช้งานได้ปกติ?
การ PM ระบบไฟฟ้าเป็นการบำรุงรักษาเชิงป้องกันช่วยลดความเสี่ยงจากการหยุดชะงักโดยไม่คาดคิด เพิ่มความปลอดภัย และยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ ช่วยลดต้นทุนระยะยาวจากความเสียหายหรือ Downtime
3. การ PM ระบบไฟฟ้ามีขั้นตอนอะไรบ้าง?
โดยทั่วไปแล้วประกอบด้วยการตรวจสอบสายไฟ อุปกรณ์ป้องกัน ระบบกราวด์ ตรวจวัดกระแส–แรงดัน ตรวจหาความร้อนสะสม และทำความสะอาดอุปกรณ์ภายในตู้ควบคุมไฟฟ้า
4. ใครควรเป็นผู้ดำเนินการ PM ระบบไฟฟ้า?
ควรเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านไฟฟ้าหรือทีมวิศวกรที่มีใบอนุญาตและความชำนาญเฉพาะทาง เพื่อให้มั่นใจว่างานเป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
5. หากไม่ทำ PM ระบบไฟฟ้าจะเกิดอะไรขึ้น?
อาจเกิดความเสียหายกับอุปกรณ์ไฟฟ้า ทำให้ระบบล่มโดยไม่คาดคิด เสี่ยงต่อไฟฟ้าลัดวงจร ไฟไหม้ หรืออุบัติเหตุที่ส่งผลต่อความปลอดภัยของผู้ใช้งานและความเสียหายทางธุรกิจ
