ที่ชาร์จรถไฟฟ้าคืออะไร?
ที่ชาร์จรถไฟฟ้า (EV Charger) คือ ตัวกลางที่จัดการพลังงานให้ไหลเข้าสู่รถอย่างปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และถูกต้องตามความต้องการของแบตเตอรี่ ถ้าเราชาร์จโดยไม่มีการควบคุมหรือไม่มีระบบป้องกัน เครื่องชาร์จอาจจ่ายไฟแรงเกินไปจนเกิดความร้อนสูง แบตเตอรี่เสื่อม หรือเกิดความเสียหายต่อระบบไฟฟ้าได้เลยทีเดียว
หน้าที่หลักของที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV Charger ก็คือ แปลงและควบคุมการจ่ายไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานภายนอก ไม่ว่าจะมาจากไฟบ้าน อาคารสำนักงาน หรือสถานีชาร์จ ให้กลายเป็นพลังงานที่เหมาะสมกับการชาร์จแบตเตอรี่ของรถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างปลอดภัย
พูดง่าย ๆ ว่า การทำงานของที่ชาร์จ EV ก็เหมือนที่ชาร์จโทรศัพท์มือถือของเรา เพียงแต่มีขนาดใหญ่กว่า ใช้พลังงานมากกว่า และมีระบบควบคุมความปลอดภัยที่ซับซ้อนกว่ามาก เพราะแทนที่จะชาร์จแบตเตอรี่ขนาดไม่กี่พันมิลลิแอมป์อย่างโทรศัพท์ ที่ชาร์จรถ EV ต้องรับมือกับแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่เก็บพลังงานได้หลายสิบกิโลวัตต์ชั่วโมง

ประเภทของที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า
เราสามารถแบ่งประเภทที่ชาร์จรถยนต์ได้ 2 ประเภทหลักด้วยกัน โดยที่หัวชาร์จรถไฟฟ้าทั้ง 2 แบบ มีการทำงาน ความเร็วในการชาร์จ และการใช้งานที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
1. AC Charger
หัวชาร์จแบบ AC (Alternating Current) เป็นแบบที่นิยมใช้มากที่สุด เพราะใช้ไฟฟ้ากระแสสลับที่มีแรงดัน 220 โวลต์ แบบเดียวกับไฟบ้าน ทำให้เหมาะกับการติดตั้งในบ้าน คอนโด หรือที่ทำงาน ซึ่งเป็นสถานที่ที่สามารถจอดรถทิ้งไว้ได้หลายชั่วโมง
หัวชาร์จประเภทนี้จะใช้ระยะเวลาในการชาร์จอยู่ที่ประมาณ 2 – 8 ชั่วโมง แต่ขึ้นอยู่กับขนาดแบตเตอรี่และกำลังไฟที่จ่ายได้ จึงเหมาะสำหรับการชาร์จระหว่างพักผ่อนหรือชาร์จในช่วงกลางคืน
2. DC Charger
หัวชาร์จแบบ DC (Direct current) เป็นระบบชาร์จเร็วที่ใช้ไฟฟ้ากระแสตรง ส่งพลังงานเข้าแบตเตอรี่ได้โดยตรงโดยไม่ต้องผ่านระบบแปลงไฟภายในรถ ทำให้ใช้เวลาในการชาร์จแค่ 15 – 45 นาทีเท่านั้น
เราจึงมักจะพบที่ชาร์จแบบนี้ตามสถานีชาร์จสาธารณะ จุดพักรถมอเตอร์เวย์ หรือศูนย์การค้าขนาดใหญ่ เพราะที่ชาร์จรถไฟฟ้าประเภทนี้เหมาะกับการชาร์จระหว่างเดินทาง หรือเมื่อเราต้องการเพิ่มพลังงานอย่างรวดเร็วในเวลาจำกัดนั่นเอง
อ่านบทความที่น่าสนใจ :EV Charger ประเภทไหนเหมาะกับธุรกิจคุณ? เปรียบเทียบ AC และ DC พร้อมเคสใช้งานจริง

ที่ชาร์จรถไฟฟ้าแบบ AC/DC ต่างกันอย่างไร?
สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าแบบ AC และแบบ DC อย่างชัดเจนก็คือ ความเร็วในการชาร์จ สถานที่ใช้งาน รวมถึงกระบวนการแปลงพลังงานด้วย
ข้อดีของ AC Charger
- ใช้งานและดูแลรักษาง่าย และมีราคาถูกกว่าที่ชาร์จแบบ DC คุ้มค่าสำหรับการติดตั้งที่บ้านและที่ทำงาน
- เหมาะสำหรับการใช้งานประจำ ในกรณีที่มีเวลาชาร์จหลายชั่วโมง เช่น ตอนกลางคืน หรือในช่วงเวลาที่ไม่รีบ
- ติดตั้งง่าย ใช้ไฟฟ้ากระแสสลับที่มีอยู่ทั่วไปในบ้าน จึงไม่ต้องมีการปรับปรุงระบบไฟฟ้าใหม่มากนัก
ข้อเสียของ AC Charger
- ใช้เวลาชาร์จนาน อาจไม่สะดวกสำหรับผู้ที่ต้องการเติมพลังให้เร็ว
- ไม่เหมาะสำหรับการเดินทางไกลหรือสถานการณ์ที่ต้องการชาร์จในเวลาจำกัด
- ประสิทธิภาพน้อยกว่า เพราะการแปลงพลังงานต้องผ่านตัวแปลงไฟภายในรถ ทำให้มีการสูญเสียพลังงานมากขึ้น
ข้อดีของ DC Charger
- ประหยัดเวลาในการชาร์จ เพราะที่ชาร์จแบบ DC สามารถชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มได้ภายในเวลาแค่ 15-45 นาที ซึ่งเหมาะสำหรับการใช้งานในสถานการณ์ที่ต้องการเติมไฟเร็ว เช่น การเดินทางระยะไกล
- สะดวกกว่าสำหรับผู้ที่เดินทางไกลบ่อย ๆ หรือมีการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในรูปแบบที่ต้องการชาร์จเร็ว
- รองรับการชาร์จเร็วในสถานีชาร์จที่ให้บริการหลายสถานีพร้อมกัน
ข้อเสียของ DC Charger
- ต้นทุนสูง เพราะต้องใช้โครงสร้างไฟฟ้าที่รองรับกำลังไฟฟ้าที่สูงขึ้น และเครื่องชาร์จขนาดใหญ่
- ไม่สะดวกในการติดตั้งที่บ้านหรือคอนโด เพราะต้องใช้พื้นที่มากและต้องติดตั้งระบบไฟฟ้าพิเศษ
- มีผลต่ออายุแบตเตอรี่ บางกรณีการชาร์จที่รวดเร็วอาจทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วขึ้น หากใช้งานในระยะยาวแบบขาดการดูแลที่เหมาะสม
อ่านบทความที่น่าสนใจ :หัวชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV) มีกี่ประเภท ต่างกันอย่างไร ใช้งานแบบไหน?

แนวทางการเลือกใช้ที่ชาร์จรถไฟฟ้าให้เหมาะกับรถของคุณ
การเลือกที่ชาร์จที่เหมาะสมกับรถยนต์ไฟฟ้าของเราเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะการเลือกใช้ที่ชาร์จที่เหมาะสมจะช่วยให้เราชาร์จได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดเวลา และปกป้องอุปกรณ์ของเราให้ทำงานได้เต็มที่
1. ประเภทของที่ชาร์จ EV
หากมีเวลาชาร์จหลายชั่วโมง เช่น ตอนกลางคืน หรือในช่วงที่ไม่เร่งรีบ การเลือกใช้ที่ชาร์จ AC เป็นตัวเลือกที่ดีกว่า เพราะสามารถติดตั้งที่บ้านได้ง่ายและไม่เสียค่าใช้จ่ายสูง
แต่ถ้าต้องการชาร์จเร็ว หรือเดินทางไกลบ่อยและต้องการเติมพลังในเวลาจำกัด เลือกที่ชาร์จ DC ก็จะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า เพราะสามารถเติมพลังให้เต็มได้ภายใน 15-45 นาที แต่ก็แลกมากับต้นทุนที่สูงกว่าและไม่สะดวกในการติดตั้งที่บ้าน
2. เช็กการใช้งานประจำวันและสถานที่
หากใช้รถไฟฟ้าเป็นหลักในชีวิตประจำวัน เช่น การขับไปทำงานหรือขับในระยะทางสั้น ๆ ที่ชาร์จแบบ AC จะเป็นตัวเลือกที่สะดวกที่สุด
หรือถ้าใช้งานเดินทางไกลเป็นเรื่องปกติ เช่น ไปเที่ยวต่างจังหวัดหรือเดินทางบนมอเตอร์เวย์ การใช้ที่ชาร์จ DC จะสะดวกกว่า ช่วยให้สามารถเติมพลังได้เร็วขึ้นระหว่างการเดินทาง
3. กำลังไฟที่รองรับ
ควรตรวจสอบว่าเครื่องชาร์จรองรับกำลังไฟสูงสุดที่เหมาะสมกับรถไฟฟ้าของเราแล้วหรือยัง โดยปกติแล้ว ที่ชาร์จ AC จะรองรับได้ตั้งแต่ 3.7 kW จนถึง 22 kW ขึ้นอยู่กับรุ่นของรถและที่ชาร์จ
ส่วนที่ชาร์จ DC มีความสามารถในการจ่ายกำลังไฟที่สูงกว่ามาก เช่น 50 kW, 150 kW ไปจนถึง 350 kW เลยทีเดียว จึงสามารถชาร์จได้เร็วและรองรับแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ได้มากกว่า
4. ความสะดวกในการติดตั้งและการใช้งาน
หากบ้านหรือคอนโดมีพื้นที่จำกัด ควรเลือกหัวชาร์จแบบ AC ที่มีขนาดเล็ก ติดตั้งได้ง่าย และไม่ต้องปรับปรุงระบบไฟฟ้าใหม่มากนัก
แต่ถ้าเป็นการใช้งานในสถานีชาร์จหรือพื้นที่ที่มีการจอดรถจำนวนมาก ควรเลือกหัวชาร์จแบบ DC ที่รองรับการชาร์จที่รวดเร็วและบริการผู้ใช้หลายคนในเวลาเดียวกัน
5. มาตรฐานการชาร์จ
อย่าลืมตรวจสอบว่า รถ EV ของเรารองรับการเชื่อมต่อกับที่ชาร์จแบบ AC หรือ DC เพราะรถไฟฟ้าบางรุ่นก็รองรับเฉพาะที่ชาร์จแบบ AC หรือบางรุ่นก็อาจรองรับทั้งสองแบบ
หัวชาร์จมีหลายประเภท เช่น Type 1, Type 2 (AC), CCS2 และ CHAdeMO (DC) ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่า ที่ชาร์จที่เราเลือกมาสามารถรองรับหัวชาร์จที่เหมาะสมกับรถไฟฟ้าของเราได้
6. ค่าใช้จ่าย
ที่ชาร์จ AC มักจะมีราคาที่ถูกกว่าและค่าใช้จ่ายการติดตั้งที่ต่ำกว่า แต่ต้องใช้เวลาชาร์จมากกว่า ส่วนที่ชาร์จ DC แม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าในการติดตั้ง แต่จะช่วยประหยัดเวลาในการชาร์จและเหมาะกับสถานการณ์ที่ต้องการชาร์จอย่างรวดเร็ว
7. การดูแลและการบำรุงรักษา
โดยทั่วไปแล้ว ที่ชาร์จ AC จะดูแลรักษาง่ายกว่า และมีการสึกหรอจากการใช้งานน้อยกว่า แต่ที่ชาร์จ DC อาจต้องมีการตรวจสอบและบำรุงรักษาบ่อยครั้งกว่า เนื่องจากมีระบบและอุปกรณ์ที่ซับซ้อนกว่า
ติดตั้งที่ชาร์จที่เหมาะกับรถ EV โดยทีมงานมืออาชีพจาก ณัฐภูมิ วิศวกรรม
การเลือกที่ชาร์จรถไฟฟ้าที่เหมาะสมไม่ใช่เรื่องยาก ไม่ว่าจะเป็นที่ชาร์จ AC ที่ติดตั้งง่ายและเหมาะกับการใช้งานที่บ้านหรือที่ทำงานในระยะยาว หรือที่ชาร์จ DC ที่ตอบโจทย์การชาร์จเร็วระหว่างเดินทางไกล หากพิจารณาจากการใช้งานในชีวิตประจำวันและความต้องการของเราเองได้ ก็จะสามารถเลือกที่ชาร์จที่ดีที่สุดสำหรับรถ EV ของเราได้อย่างง่ายดาย
ด้วยประสบการณ์กว่า 30 ปี ด้านระบบไฟฟ้าและการได้รับมาตรฐานสากล ISO 9001:2015 ณัฐภูมิ วิศวกรรม พร้อมดูแลคุณด้วยบริการออกแบบ ติดตั้ง และบำรุงรักษาเครื่องชาร์จรถไฟฟ้าที่ครบวงจร ตั้งแต่การเลือกที่ชาร์จที่เหมาะสม ไปจนถึงการติดตั้งและดูแลรักษาให้สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและปลอดภัย ทั้งการติดตั้ง AC Charger สำหรับที่พักอาศัยและ DC Charger สำหรับสถานีชาร์จที่รองรับการชาร์จเร็วในสถานที่ต่าง ๆ ให้คุณสามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและปลอดภัยมากที่สุด
ปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ ติดต่อเรา
หรือโทร 098-291-4911 และแอดไลน์ @npeng
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับที่ชาร์จรถไฟฟ้า
1. ติดตั้งที่ชาร์จแบบ DC ที่บ้านได้ไหม?
ได้ หากมีการออกแบบและปรับปรุงระบบไฟฟ้าที่รองรับกำลังไฟสูงและมีพื้นที่เพียงพอ เพราะส่วนใหญ่แล้ว ที่ชาร์จแบบ DC จะใช้ในสถานีชาร์จสาธารณะหรือสถานที่ที่รองรับการชาร์จหลายคันพร้อมกันมากกว่า
2. การชาร์จรถไฟฟ้าที่บ้านมีผลต่อการใช้ไฟฟ้าในบ้านหรือไม่?
มี เพราะการชาร์จรถไฟฟ้าที่บ้านจะใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการชาร์จในเวลากลางคืน ซึ่งอาจทำให้บิลค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ขึ้นอยู่กับประเภทของที่ชาร์จและระยะเวลาการชาร์จ แต่การใช้ที่ชาร์จ AC จะมีผลกระทบต่อค่าไฟฟ้าต่ำกว่า ที่ชาร์จ DC ที่ชาร์จเร็วและใช้พลังงานมากกว่า
3. ต้องมีการปรับปรุงระบบไฟฟ้าก่อนติดตั้งที่ชาร์จรถไฟฟ้าหรือไม่?
ขึ้นอยู่กับประเภทที่ชาร์จที่เลือกใช้ เพราะส่วนใหญ่ที่ชาร์จ AC สามารถติดตั้งได้โดยไม่ต้องปรับปรุงระบบไฟฟ้ามากนัก เพราะใช้ไฟฟ้ากระแสสลับทั่วไป แต่ในกรณีของที่ชาร์จ DC หรือสถานีชาร์จขนาดใหญ่ที่ต้องการกำลังไฟฟ้าสูง อาจต้องมีการปรับปรุงระบบไฟฟ้าเพิ่มเติม เช่น การติดตั้งเบรกเกอร์ที่รองรับไฟฟ้าสูงขึ้น
