งานติดตั้งระบบไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรม แตกต่างจากงานไฟฟ้าทั่วไปอย่างไร?
งานติดตั้งระบบไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรมมีความซับซ้อนมากกว่าการติดตั้งไฟฟ้าทั่วไปในบ้านหรืออาคารขนาดเล็กเป็นอย่างมาก เนื่องจากโรงงานต้องการระบบที่รองรับการใช้พลังงานจำนวนมากและมีความปลอดภัยสูงกว่า ในการจัดการกับปริมาณการใช้ไฟฟ้าที่สูง แรงดันไฟฟ้าสูง และกระแสไฟที่แรงกว่าปกติรวมถึงการออกแบบระบบไฟฟ้าโรงงานยังต้องสอดคล้องกับมาตรฐานที่มีข้อกำหนดทางกฎหมาย เพื่อความปลอดภัยอีกด้วย
การติดตั้งระบบไฟฟ้าในโรงงานจึงต้องมีการออกแบบอย่างรอบคอบ เพื่อให้สามารถจัดการกับการใช้ไฟฟ้าจำนวนมากได้อย่างเหมาะสม และต้องมีการควบคุมที่ดีในการกระจายพลังงานไปยังแต่ละจุดอย่างปลอดภัย
อ่านบทความที่น่าสนใจ :มาตรฐานการติดตั้งระบบไฟฟ้าแรงสูงโรงงานที่ผู้ประกอบการต้องรู้
5 องค์ประกอบสำคัญของระบบไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรม
ระบบไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรมประกอบไปด้วย 5 องค์ประกอบหลักด้วยกัน ที่ต้องทำงานร่วมกันเพื่อให้ระบบไฟฟ้าทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยได้มาตรฐานการติดตั้งระบบไฟฟ้า ดังนี้

1. ระบบรับไฟฟ้าแรงสูงและหม้อแปลง
ระบบไฟฟ้าในโรงงานจะเริ่มต้นได้ก็ต้องรับไฟฟ้าแรงสูงเช่น 22 kV หรือ 33 kV มาจากการไฟฟ้าเสียก่อน เนื่องจากโรงงานมีการใช้พลังงานจำนวนมากจนไฟฟ้าระดับแรงดันต่ำแบบที่ใช้ในบ้านไม่เพียงพอและไม่เสถียรสำหรับเครื่องจักรอุตสาหกรรม
เมื่อไฟฟ้าแรงสูงถูกส่งเข้าพื้นที่โรงงานแล้ว ก็ต้องผ่านหม้อแปลงไฟฟ้าเพื่อแปลงแรงดันที่สูงเกินไปหรือไม่เหมาะสมจะสามารถทำให้เครื่องจักรเสียหายหรือทำงานผิดพลาด ให้ลดลงเป็นระดับที่เหมาะกับการใช้งาน เช่น 380/400 V สำหรับระบบ 3 เฟสที่ใช้กับเครื่องจักรส่วนใหญ่ หม้อแปลงจึงทำหน้าที่เป็นด่านแรกที่จะทำให้พลังงานไฟฟ้าสามารถถูกนำไปใช้งานได้อย่างปลอดภัยและเสถียรในระบบไฟฟ้าของโรงงาน
หม้อแปลงที่ดีและสมดุลจะช่วยให้เครื่องจักรทำงานเต็มประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงจากแรงดันไม่คงที่ รวมถึงป้องกันปัญหาไฟตก ไฟเกิน และความเสียหายต่ออุปกรณ์ได้

2. ตู้ควบคุมไฟฟ้าหลัก
ตู้ควบคุมไฟฟ้าหลัก (MDB) ก็เปรียบเสมือนศูนย์บัญชาการของระบบไฟฟ้าในโรงงาน ซึ่งทำหน้าที่รับไฟฟ้าจากหม้อแปลง เชื่อมต่อกับเบรกเกอร์เพื่อควบคุมการจ่ายไฟ และกระจายไปยังส่วนต่าง ๆ ของโรงงาน ซึ่งรวมถึงการจ่ายไฟให้กับเครื่องจักร ระบบแสงสว่าง ระบบความเย็น และระบบไฟฟ้าอื่น ๆ ด้วยการจัดการการจ่ายไฟที่สอดคล้องกับการใช้พลังงานในแต่ละโซน เช่น บางส่วนอาจใช้พลังงานมาก บางส่วนอาจใช้พลังงานน้อย ตู้ MDB จึงช่วยกระจายไฟให้เหมาะสม และป้องกันอุบัติเหตุจากการใช้ไฟฟ้าด้วยการตัดการจ่ายไฟได้หากเกิดเหตุการณ์ไฟฟ้าลัดวงจรหรือปัญหาที่อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อเครื่องจักรหรือทรัพย์สิน
การออกแบบและการเลือกใช้ตู้ MDB ที่เหมาะสมจึงมีผลโดยตรงต่อความปลอดภัยของระบบไฟฟ้าในโรงงาน เพราะตู้ที่มีคุณภาพจะช่วยให้การทำงานของโรงงานมีความเสถียร ป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการกระจายพลังงานที่ไม่เหมาะสมได้

3. ระบบสายไฟฟ้าและรางเดินสาย
ถ้าตู้ MDB เป็นศูนย์บัญชาการ ระบบสายไฟฟ้า ก็เป็นเส้นเลือดที่นำพลังงานไปสู่เครื่องจักรหรืออุปกรณ์ต่าง ๆ การออกแบบระบบสายไฟให้ถูกต้องตามมาตรฐานและเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมช่วยป้องกันปัญหาอย่างไฟรั่ว ไฟฟ้าลัดวงจร หรือความเสียหายจากฟ้าผ่าได้
จึงต้องมีการออกแบบระบบสายไฟฟ้าที่ดี ดังนี้
- เลือกขนาดสายไฟที่เหมาะสมตามความต้องการการใช้ไฟฟ้าในแต่ละพื้นที่ เช่น เครื่องจักรบางตัวต้องการพลังงานสูงและใช้สายไฟขนาดใหญ่ ในขณะที่พื้นที่แสงสว่างทั่วไปอาจใช้สายไฟขนาดเล็ก
- การเลือกวัสดุของสายไฟ ต้องเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมภายในโรงงาน เช่น สายไฟที่ใช้ในพื้นที่ที่มีความชื้นสูง หรือในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูง จะต้องเลือกใช้สายไฟที่สามารถทนทานต่อสภาพแวดล้อมนั้นได้
- การวางแผนเส้นทางการเดินสาย และการจัดระเบียบของสายไฟในรางเดินสาย (Raceways) คำนึงถึงการระบายความร้อนและการป้องกันอุบัติเหตุจากการเดินสายไฟผิดวิธี
การวางแผนระบบสายไฟที่ดีไม่เพียงแค่ช่วยเพิ่มความปลอดภัย แต่ยังช่วยให้ซ่อมบำรุงและขยายระบบในอนาคตได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

4. ตู้ควบคุมเครื่องจักรและตู้ย่อย
ตู้ควบคุมเครื่องจักร (Control Panel) และ ตู้ย่อย (Distribution Board) เป็นอุปกรณ์สำคัญที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของเครื่องจักรในโรงงานและกระจายพลังงานไปยังแต่ละโซนการผลิต โดยการกระจายพลังงานในระดับย่อยให้ตรงตามความต้องการของแต่ละส่วน เช่น โซนที่ใช้พลังงานมากหรือมีเครื่องจักรขนาดใหญ่ อาจจะได้รับพลังงานที่แตกต่างจากโซนที่ใช้พลังงานน้อย
หน้าที่สำคัญของตู้ควบคุมเครื่องจักรและตู้ย่อย
- ควบคุมการจ่ายพลังงานไฟฟ้า ไปยังเครื่องจักรหรือแต่ละโซนการผลิตให้มีความเหมาะสมและเสถียร
- การแยกส่วนการจ่ายไฟ เช่น ระบบไฟฟ้าของเครื่องจักรขนาดใหญ่จะถูกควบคุมและป้องกันด้วยตู้ควบคุมที่สามารถตัดการจ่ายไฟได้ในกรณีที่เกิดปัญหา
- ลดความเสี่ยงจากไฟฟ้าลัดวงจร หรือปัญหาอื่น ๆ ด้วยการตัดการจ่ายไฟได้อย่างทันท่วงที ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไฟฟ้าลัดวงจรหรือการใช้งานผิดปกติ
- เพิ่มความสะดวกในการบำรุงรักษา ด้วยการออกแบบที่เข้าถึงได้ง่ายและทำการตรวจสอบได้สะดวก
5. ระบบสายดินและอุปกรณ์ป้องกัน
ระบบสายดินและอุปกรณ์ป้องกัน เป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดในด้านความปลอดภัยของระบบไฟฟ้า
โดยระบบนี้ทำหน้าที่ป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าด้วยการป้องกันไฟรั่ว ไฟดูด และความเสียหายจากฟ้าผ่า
การติดตั้งและดูแลระบบสายดินให้มีคุณภาพจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการรักษาความปลอดภัยในการใช้งานระบบไฟฟ้าในโรงงานและพนักงาน รวมถึงทรัพย์สินของโรงงานอีกด้วย
วางรากฐานที่มั่นคงทางระบบไฟฟ้าให้โรงงานของคุณ กับณัฐภูมิ วิศวกรรม
ระบบไฟฟ้าในโรงงานประกอบด้วยองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ทำงานร่วมกันเป็นระบบ การออกแบบและติดตั้งระบบไฟฟ้าที่ดีและได้มาตรฐานจึงเป็นรากฐานที่สำคัญในการดำเนินธุรกิจที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย เพื่อให้กระบวนการผลิตในโรงงานดำเนินไปอย่างราบรื่น เพิ่มความปลอดภัย ป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้งานระบบไฟฟ้า และส่งเสริมประสิทธิภาพในการผลิต ในขณะที่ยังสามารถลดต้นทุนในระยะยาวได้อีกด้วย
หากคุณกำลังมองหาผู้เชี่ยวชาญในการออกแบบและติดตั้งระบบไฟฟ้าโรงงาน ผู้ที่มีกระบวนการทำงานที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล ISO 9001:2015 ณัฐภูมิ วิศวกรรมพร้อมที่จะช่วยให้คุณสร้างระบบไฟฟ้าที่มั่นคงและปลอดภัยสำหรับโรงงานของคุณ ด้วยทีมวิศวกรที่มีประสบการณ์กว่า 30 ปี พร้อมให้บริการครบวงจร ตั้งแต่การออกแบบ ไปจนถึงการติดตั้งและดูแลระบบไฟฟ้าให้คุณมั่นใจในความปลอดภัยและประสิทธิภาพ
ปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ ติดต่อเรา
หรือโทร 098-291-4911 และแอดไลน์ @npeng
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการติดตั้งระบบไฟฟ้าในโรงงาน
1. จะรู้ได้อย่างไรว่าโรงงานต้องการระบบไฟฟ้าขนาดไหน?
ต้องทำการสำรวจและคำนวณโหลดไฟฟ้า (Load Calculation) เพื่อประเมินความต้องการพลังงานของเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่าง ๆ ในโรงงาน โดยวิศวกรจะทำการออกแบบระบบไฟฟ้าให้เหมาะสมกับการใช้งานเพื่อให้ระบบไฟฟ้ามีประสิทธิภาพสูงสุดและปลอดภัย
2. มีการตรวจสอบคุณภาพของระบบไฟฟ้าหลังการติดตั้งไหม?
หลังการติดตั้ง ผู้รับเหมาที่มีมาตรฐานจะทำการทดสอบระบบไฟฟ้าอย่างละเอียด เช่น การทดสอบค่าความเป็นฉนวนของสายไฟ การทดสอบระบบสายดิน และการทดสอบการทำงานของอุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้า เพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์ทั้งหมดทำงานได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
3. หากเกิดปัญหาหลังการติดตั้งควรทำอย่างไร?
หากมีปัญหาหลังจากการติดตั้งระบบไฟฟ้า เช่น ระบบไฟฟ้าไม่ทำงานตามที่คาดหวัง หรือเกิดปัญหาจากการติดตั้งที่ไม่ถูกต้อง ผู้รับเหมาต้องให้บริการหลังการขาย เช่น การซ่อมแซมและปรับปรุงงานติดตั้งให้ตรงตามมาตรฐาน
