หม้อแปลงไฟฟ้าสำคัญต่อโรงงานอุตสาหกรรมอย่างไร?
หากเปรียบโรงงานอุตสาหกรรมเป็นร่างกายของคนเรา หม้อแปลงไฟฟ้า (Transformer) ถือเป็น หัวใจที่ทำหน้าที่สูบฉีดพลังงานไฟฟ้าอันเป็นเส้นเลือดใหญ่ ที่นำไปหล่อเลี้ยงเครื่องจักรและระบบการผลิตทั้งหมด เนื่องจากหม้อแปลงไฟฟ้าเป็นจุดเริ่มต้นที่รับพลังงานไฟฟ้าแรงสูงและแปลงให้เป็นแรงดันที่เหมาะสม เพื่อให้สายการผลิตทุกภาคส่วนสามารถดำเนินงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ด้วยบทบาทที่ส่งผลโดยตรงต่อความต่อเนื่องทางธุรกิจนี้เอง ทำให้การหยุดทำงานของหม้อแปลงไฟฟ้าเพียงหนึ่งตัว สามารถทำให้กระบวนการผลิตทั้งหมดหยุดชะงักได้เลยทีเดียว ซึ่งจะนำไปสู่ความเสียหายที่ประเมินค่าได้ยาก ทั้งในแง่ของผลผลิตที่ขาดหาย การส่งมอบที่ล่าช้า และต้นทุนค่าเสียโอกาสทางธุรกิจที่สูงกว่าค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาหลายเท่าตัว
5 สัญญาณเตือน! อาการหม้อแปลงไฟฟ้าผิดปกติที่ควรรีบตรวจสอบ
การดูแลหม้อแปลงไฟฟ้าเชิงรุก (PM) สามารถเริ่มต้นได้ง่าย ๆ จากการสังเกตเบื้องต้นด้วยสายตาและการฟัง เพื่อประเมินสภาพของหม้อแปลงเบื้องต้นได้ ดังนี้
1. เสียงดังผิดปกติ (Abnormal Noise)
โดยปกติแล้ว หม้อแปลงไฟฟ้าจะมีเสียงฮัมเบา ๆ ขณะทำงาน แต่หากได้ยินเสียงที่ผิดแปลกไปจากเดิม นั่นนับเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงปัญหาภายในหม้อแปลงไฟฟ้าในโรงงานของคุณ โดยมีเสียงที่ควรระวังเป็นพิเศษ เช่น เสียงฮัมที่ดังขึ้น เสียงซี๊ดคล้ายลมรั่ว เสียงแตกลั่น หรือเสียงปะทุคล้ายไฟฟ้าสปาร์ก ซึ่งมักเป็นเสียงที่คนทำงานคุ้นชินจนอาจมองข้ามไป แต่เสียงเหล่านั้น อาจหมายถึงชิ้นส่วนภายในหลวมหรือเกิดการลัดวงจรที่ต้องได้รับการตรวจสอบโดยเร่งด่วน
2. ความร้อนสูงเกินไป (Overheating)
คุณสามารถตรวจสอบความร้อนของหม้อแปลงไฟฟ้าในโรงงานได้ ด้วยการสังเกตเกจวัดอุณหภูมิว่าแสดงค่าสูงกว่าระดับปกติอย่างต่อเนื่อง หรือตัวถังหม้อแปลงร้อนจัดจนผิดสังเกต อาจเกิดจากการใช้งานเกินกำลัง (Overload) หรือระบบระบายความร้อนขัดข้อง และความร้อนที่สูงเกินไปนี้เอง จะเร่งให้ฉนวนไฟฟ้าและน้ำมันหม้อแปลงเสื่อมสภาพเร็วขึ้นอย่างมาก
นอกจากการตรวจสอบเกจวัดอุณหภูมิแล้ว ยังสามารถใช้เทอร์โมมิเตอร์แบบอินฟราเรดวัดอุณหภูมิที่พื้นผิวของตัวถังในจุดต่าง ๆ เพื่อหาความร้อนที่สูงผิดปกติ หรือแม้แต่การสังเกตสีของน้ำมันในช่องมองระดับน้ำมันหากมีสีเข้มขึ้นหรือขุ่นกว่าปกติ ก็อาจเป็นผลมาจากความร้อนที่สูงเกินไปซึ่งทำให้คุณภาพน้ำมันเสื่อมลงเช่นกัน

3. การรั่วซึมของน้ำมัน (Oil Leakage)
น้ำมันในหม้อแปลงทำหน้าที่ทั้งระบายความร้อนและเป็นฉนวนไฟฟ้า หากเกิดการรั่วซึมจนทำให้ระดับน้ำมันลดลงแม้เพียงนิดเดียว ก็ลดประสิทธิภาพในการระบายความร้อนและการเป็นฉนวนไฟฟ้า รวมถึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดความเสียหายรุนแรงอีกด้วย
โดยจุดที่มักจะเกิดการรั่วซึมได้บ่อย ได้แก่
- ครีบระบายความร้อน
- แนวซีลยางและปะเก็นต่าง ๆ
- ขั้วไฟฟ้าหรือบุชชิ่ง (Bushing)
ดังนั้น การตรวจสอบรอยรั่วซึมด้วยสายตาเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายและควรทำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดความเสี่ยงที่ส่งผลต่อการทำงานของหม้อแปลงไฟฟ้าโดยตรง
4. ค่าไฟฟ้าสูงขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ (Unexplained High Electricity Bills)
หากค่าไฟฟ้าของโรงงานสูงขึ้นอย่างผิดปกติ ทั้งที่ปริมาณการผลิตเท่าเดิม อาจเป็นสัญญาณว่าหม้อแปลงไฟฟ้าในโรงงานของคุณเริ่มไม่มีประสิทธิภาพ จนทำให้หม้อแปลงต้องดึงพลังงานไฟฟ้ามากขึ้นในการจ่ายไฟเท่าเดิม ทำให้เกิดการสูญเสียพลังงาน (Energy Loss)ในระบบสูงขึ้น ซึ่งพลังงานส่วนที่เกินมานั้นจะสูญเสียไปในรูปของความร้อนที่ทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์
5. สีของสารดูดความชื้น (Silica Gel) เปลี่ยนไป
ซิลิกาเจล คือ สารดูดความชื้นที่ป้องกันไม่ให้อากาศภายนอกนำความชื้นเข้าไปในระบบน้ำมันของหม้อแปลงไฟฟ้าในโรงงาน
หากซิลิกาเจลที่ปกติเป็นสีน้ำเงินเข้มหรือสีส้ม เปลี่ยนเป็นสีชมพูหรือสีขาวใส แสดงว่าซิลิกาเจลนั้นเสื่อมสภาพ เนื่องจากอิ่มตัวด้วยความชื้นที่เข้าไปในระบบ จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่ทันที เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำเข้าไปทำลายคุณสมบัติของน้ำมันฉนวน
การสังเกตสัญญาณเตือนเหล่านี้เป็นประจำ คือด่านแรกของการป้องกันความเสียหายรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นกับหม้อแปลงไฟฟ้า หากพบอาการของหม้อแปลงไฟฟ้าที่ผิดปกติ ควรหยุดการใช้งานและแจ้งแผนกซ่อมบำรุงหรือผู้เชี่ยวชาญให้เข้าตรวจสอบโดยละเอียดทันที

ยืดอายุการใช้งานหม้อแปลงไฟฟ้าโรงงานได้ง่าย ๆ ด้วย การบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (PM)
เมื่อรู้จักสัญญาณเตือนแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือการป้องกันไม่ให้ปัญหานั้นเกิดขึ้น การวางแผนบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (PM) อย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการตรวจสอบหม้อแปลงไฟฟ้าประจำปี จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยลดความเสี่ยงของการเสียหายกะทันหัน ยืดอายุการใช้งานหม้อแปลงไฟฟ้า และสร้างเสถียรภาพให้กับระบบไฟฟ้าของโรงงานได้ โดยมีแนวทางการ PM หม้อแปลงไฟฟ้า ดังนี้
ตรวจสอบและทำความสะอาดภายนอก
การตรวจหาจุดที่อาจเกิดสนิมหรือการผุกร่อน รวมถึงการทำความสะอาดฝุ่นหรือคราบสกปรกที่เกาะอยู่ตามลูกถ้วยฉนวน (Insulator) และครีบระบายความร้อน เป็นขั้นตอนพื้นฐานแต่สำคัญกว่าที่คิด เพราะการทำความสะอาดจะช่วยให้ระบายความร้อนได้ดียิ่งขึ้นและป้องกันไฟฟ้าลัดวงจรได้
ตรวจสอบและทดสอบน้ำมันหม้อแปลง
นอกจากการตรวจสอบระดับและสีของน้ำมันด้วยสายตาแล้ว การบำรุงรักษาตามมาตรฐานยังรวมถึง การเก็บตัวอย่างน้ำมันไปทดสอบในห้องปฏิบัติการ เพื่อวิเคราะห์คุณสมบัติการเป็นฉนวนไฟฟ้า (Dielectric Strength) และตรวจหาสิ่งปนเปื้อน เช่น ความชื้น ข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อบ่งชี้ถึงปัญหาภายในของหม้อแปลง ช่วยให้สามารถเห็นปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ล่วงหน้า
การทดสอบทางไฟฟ้า (Electrical Tests)
ขั้นตอนนี้จำเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญและเครื่องมือวัดขั้นสูง เพื่อทดสอบคุณสมบัติทางไฟฟ้าที่สำคัญ เช่น การทดสอบค่าความต้านทานของฉนวน (Insulation Resistance Test) หรือ การทดสอบอัตราส่วนขดลวด (Turns Ratio Test) ผลการทดสอบเหล่านี้จะบอกได้ถึงความสมบูรณ์ของแกนเหล็ก ขดลวด และฉนวนภายใน ซึ่งเป็นหัวใจหลักของหม้อแปลงไฟฟ้า
การบำรุงรักษาอุปกรณ์ประกอบ
หม้อแปลงไฟฟ้ามีอุปกรณ์ประกอบอื่น ๆ ที่ต้องดูแลเช่นกัน เพื่อให้ทุกส่วนพร้อมทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ เช่น
- การตรวจสอบการทำงานของพัดลมระบายความร้อน
- การทดสอบอุปกรณ์ป้องกัน (Protection Relay)
- การตรวจสอบสภาพของบุชชิ่งและซีลยาง
อ่านบทความที่น่าสนใจ : ประโยชน์ของการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (PM) ระบบไฟฟ้าโรงงานที่ควรรู้

ทำไมการบำรุงรักษาหม้อแปลงไฟฟ้าต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญ?
การบำรุงรักษาหม้อแปลงไฟฟ้าเป็นงานที่มีความซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับไฟฟ้าแรงสูง หากดำเนินการ PM หม้อแปลงไฟฟ้าในโรงงานโดยขาดการความรู้ความเข้าใจและความชำนาญ อาจเกิดอันตรายถึงชีวิตได้ การเลือกใช้บริการจากทีมวิศวกรมืออาชีพจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดเพื่อความปลอดภัยและความมั่นคงในการดำเนินงานของโรงงาน ด้วยเหตุผลสำคัญเหล่านี้
- ความปลอดภัยสูงสุด: ผู้เชี่ยวชาญมีอุปกรณ์ป้องกันและขั้นตอนการทำงานที่ออกแบบมาเพื่อความปลอดภัยโดยเฉพาะ
- เครื่องมือที่แม่นยำและความรู้เชิงลึก: มีเครื่องมือทดสอบที่ทันสมัยและที่สำคัญคือ สามารถวิเคราะห์ผลได้อย่างถูกต้อง ทำให้แก้ไขปัญหาได้ตรงจุด
- การรับรองตามมาตรฐาน: การตรวจสอบและบำรุงรักษาโดยบริษัทที่ได้มาตรฐาน ทำให้ได้เอกสารรับรองที่ถูกต้องตามกฎหมายและข้อบังคับต่างๆ ซึ่งจำเป็นสำหรับโรงงานอุตสาหกรรม
อ่านบทความน่าสนใจ :จ้างบริษัททำ PM ระบบไฟฟ้าโรงงานหรืออาคาร ดีกว่าจ้างทีมช่างประจำจริงหรือ?
ณัฐภูมิ วิศวกรรม พร้อมดูแลหัวใจของโรงงานของคุณให้แข็งแรงอยู่เสมอ
หม้อแปลงไฟฟ้าคือสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงและเป็นเสาหลักของธุรกิจ การสังเกตสัญญาณเตือนภัยทั้ง 5 นี้ เป็นเพียงด่านแรกของการป้องกัน แต่การจะยืดอายุการใช้งานและมั่นใจได้ว่าระบบไฟฟ้าจะทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพและปลอดภัยสูงสุดนั้น จำเป็นต้องอาศัยการบำรุงรักษาเชิงป้องกันโดยผู้เชี่ยวชาญตัวจริง
หากคุณกำลังมองหาผู้เชี่ยวชาญด้านระบบไฟฟ้า ณัฐภูมิ วิศวกรรม พร้อมให้บริการอย่างครบวงจร ด้วยบริการดูแล บำรุงรักษาระบบไฟฟ้า ที่ครอบคลุมทุกขั้นตอนตามมาตรฐานสากล และบริการด้านความปลอดภัยอย่างการตรวจสอบและรับรองระบบไฟฟ้า เพื่อให้โรงงานของคุณดำเนินธุรกิจได้อย่างถูกต้องตามข้อบังคับ และได้ประสิทธิภาพยั่งยืนสูงสุด
ปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ ติดต่อเรา
หรือโทร 098-291-4911 และแอดไลน์ @npeng
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับหม้อแปลงไฟฟ้าในโรงงาน
1. การบำรุงรักษาหม้อแปลงไฟฟ้า (PM) ควรทำบ่อยแค่ไหน?
ตามมาตรฐานสากลและข้อบังคับในประเทศไทย แนะนำให้ทำการตรวจสอบและบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (PM) หม้อแปลงไฟฟ้าอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง อย่างไรก็ตาม หากหม้อแปลงไฟฟ้ามีอายุการใช้งานนาน หรืออยู่ในพื้นที่ที่มีปัจจัยเสี่ยงสูง เช่น มีฝุ่นเยอะหรือมีความร้อนสูง อาจจำเป็นต้องตรวจสอบบ่อยขึ้น
2. หากพบว่าหม้อแปลงมีน้ำมันรั่วซึมเพียงเล็กน้อย สามารถใช้งานต่อไปก่อนได้หรือไม่?
ไม่ควร เพราะการรั่วซึมแม้เพียงเล็กน้อยเป็นสัญญาณว่าซีลหรือปะเก็นเริ่มเสื่อมสภาพ และการที่ระดับน้ำมันลดลงจะส่งผลต่อประสิทธิภาพการระบายความร้อนและเป็นฉนวนไฟฟ้าโดยตรง ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อเข้าตรวจสอบและแก้ไขทันที เพื่อป้องกันไม่ให้ปัญหานั้นบานปลาย
3. การบำรุงรักษาหม้อแปลงไฟฟ้าแต่ละครั้ง ต้องดับไฟนานแค่ไหน?
ระยะเวลาในการดับไฟขึ้นอยู่กับขอบเขตของงานบำรุงรักษา แต่โดยทั่วไปแล้ว การทำ PM ตามแผนประจำปี สามารถวางแผนการทำงานล่วงหน้าได้ ทำให้สามารถเลือกช่วงเวลาที่ดับไฟที่ส่งผลกระทบต่อสายการผลิตน้อยที่สุด ซึ่งย่อมดีกว่าการดับไฟฉุกเฉินเป็นเวลานานเมื่อหม้อแปลงเกิดความเสียหาย