ทำความรู้จัก EV Charger ประเภท AC และ DC แตกต่างกันอย่างไร?
ก่อนจะตัดสินใจลงทุนติดตั้ง EV Charger สำหรับธุรกิจ การเข้าใจความแตกต่างระหว่างเครื่องชาร์จไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) และกระแสตรง (DC) ถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญเพราะทั้งสองแบบมีข้อดี ข้อจำกัด และเหมาะกับรูปแบบการใช้งานที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง
AC Charger (เครื่องชาร์จกระแสสลับ)
AC Charger เป็นเครื่องชาร์จที่นิยมติดตั้งตามบ้านเรือน หรือที่มักเรียกกันติดปากว่า Wall Charger หรือ Home Charger จากลักษณะภายนอกที่คล้ายกับกล่องติดผนัง เครื่องชาร์จประเภทนี้จะจ่ายไฟฟ้ากระแสสลับแรงดัน 220V เท่ากับไฟฟ้าตามบ้านเรือนทั่วไป เมื่อไฟฟ้าเข้าสู่รถยนต์ระบบแปลงไฟในตัวรถจะทำหน้าที่แปลงไฟเป็นกระแสตรงเพื่อจ่ายเข้าแบตเตอรี่ต่อไป
ปัจจุบัน AC Charger มีหลายขนาด เริ่มต้นจาก 3.2kW, 7kW, 11kW และสูงสุดที่ 22kW ยิ่งขนาด kW เยอะยิ่งจ่ายไฟได้เร็ว แต่เมื่อเทียบกับ DC Charger แล้วถือว่าชาร์จไฟได้ช้ากว่าค่อนข้างมาก
ข้อดีขอ AC Charger คือมีขนาดกะทัดรัด ติดตั้งง่าย ใช้พื้นที่ไม่มาก และมีต้นทุนถูกกว่าการติดตั้ง DC Charger หลายเท่า เหมาะสำหรับติดตั้งในที่พักอาศัยเพื่อการชาร์จข้ามคืน เช่น บ้าน, โรงแรม, คอนโดมิเนียม หรือติดตั้งเพื่อการชาร์จระหว่างวันที่ผู้ใช้งานจอดรถนาน 2–4 ชั่วโมงขึ้นไป เช่น สำนักงาน, ห้างสรรพสินค้า, ร้านอาหาร เป็นต้น
DC Charger (เครื่องชาร์จไฟฟ้ากระแสตรง)
DC Charger เป็นเครื่องชาร์จรถยนต์ที่มีลักษณะเป็นตู้ขนาดใหญ่ สามารถจ่ายกำลังไฟฟ้าได้สูง หลักการทำงานของเครื่องชาร์จประเภทนี้จะเริ่มจากการแปลงไฟฟ้ากระแสสลับเป็นกระแสตรงที่ตัวเครื่องก่อน จากนั้นจึงจ่ายกระแสไฟฟ้าเข้าสู่แบตเตอรี่รถยนต์ จึงไม่ต้องผ่านระบบแปลงไฟในตัวรถ ทำให้ชาร์จได้เร็วมากขึ้น
ปัจจุบัน DC Charger มีขนาดตั้งแต่ 25kW ไปจนถึง 350kW ยิ่งขนาด kW เยอะยิ่งจ่ายกำลังไฟได้มาก เครื่องที่มีสเปกสูง ๆ สามารถชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าจาก 0% – 80% ได้ภายใน 20 – 30 นาที ทั้งนี้ ความเร็วการชาร์จขึ้นอยู่กับขนาดแบตเตอรี่ของรถ EV แต่ละรุ่นด้วย
ข้อดีของ DC Charger คือจ่ายกำลังไฟได้ในปริมาณสูง ทำให้ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าได้เร็วกว่า AC Charger มาก แต่ก็มีข้อจำกัดในเรื่องของตัวเครื่องที่มีขนาดใหญ่กว่า มีการติดตั้งที่ซับซ้อนกว่า ใช้พื้นที่ติดตั้งมากกว่า และต้องใช้ระบบระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพสูง ส่งผลให้มีต้นทุนติดตั้งสูงกว่า AC Charger จึงเหมาะสำหรับการติดตั้งในหลาย ๆ ธุรกิจ เช่น ปั๊มน้ำมัน, จุดพักรถ, ร้านอาหารขนาดใหญ่, ห้างสรรพสินค้า, โรงภาพยนตร์, โชว์รูมรถยนต์, ตลาด, คอมมูนิตี้มอลล์ รวมถึงธุรกิจที่ใช้ฟลีทรถ EV เช่น ขนส่งเดลิเวอรี, รถแท็กซี่ไฟฟ้า, รถรับ-ส่ง, เช่ารถ ที่ต้องการชาร์จไวและพร้อมใช้งานทันที
อ่านบทความน่าสนใจ:ติดตั้งที่ชาร์จรถไฟฟ้า (EV Charger) ที่บ้าน ราคาเท่าไหร่ ต้องทำยังไงบ้าง?
EV Charger แบบไหนตอบโจทย์ธุรกิจคุณ? พร้อมตัวอย่างใช้งานจริง
การเลือกติดตั้ง EV Charger ให้เหมาะสมกับลักษณะของธุรกิจ เปรียบเสมือนการจับคู่ระหว่างพฤติกรรมการใช้งานกับเป้าหมายของธุรกิจ ซึ่งอาจแตกต่างกันอย่างชัดเจนในแต่ละประเภทกิจการ ลองดูตัวอย่างเหล่านี้เพื่อช่วยในการตัดสินใจ
เคสที่ 1: โรงงานอุตสาหกรรม (AC สำหรับพนักงาน / DC สำหรับฟลีทรถ)
พฤติกรรมการใช้งาน
- พนักงาน: จอดรถทิ้งไว้ทั้งวันในช่วงเวลาทำงาน
- ฟลีทรถหรือรถบริษัท:ต้องใช้งานต่อเนื่องและต้องการเวลาชาร์จสั้นที่สุดเพื่อให้รถพร้อมออกวิ่งทันที
ความเหมาะสม
- AC Charger: เหมาะสำหรับพนักงานที่นำรถ EV มาทำงาน สามารถชาร์จระหว่างวันได้โดยไม่เร่งรีบ
- DC Charger: ควรติดตั้งสำหรับฟลีทรถขนส่ง หรือรถที่ต้องปฏิบัติงานต่อเนื่อง เพื่อเร่งกระบวนการชาร์จ ลด Downtime ให้ต่ำที่สุด
ROI
- เพิ่มสวัสดิการให้พนักงานด้วยจุดชาร์จฟรีหรือต้นทุนต่ำ
- ลดต้นทุนเชื้อเพลิงของฟลีทรถ
- ต่อยอดภาพลักษณ์ด้านสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยคาร์บอนจากการขนส่งภายในองค์กร
เคสที่ 2: ห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้า (ผสม AC และ DC)
พฤติกรรมการใช้งาน
ลูกค้าอาจจอดรถในระยะเวลาสั้น ๆ 1 – 2 ชั่วโมง เพื่อช้อปปิ้งหรือทานอาหาร หรืออยู่ได้นานถึง 3 – 4 ชั่วโมงขณะชมภาพยนตร์หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ
ความเหมาะสม
- AC Charger: เหมาะสำหรับลูกค้าที่ใช้เวลานานภายในห้าง ควรมีจำนวนมากเพื่อรองรับความต้องการพื้นฐาน
- DC Charger: ติดตั้งอย่างน้อย 1–2 จุดสำหรับผู้ที่ต้องการชาร์จรวดเร็วและออกเดินทางต่อทันที เช่น ลูกค้าที่อยู่ระหว่างเดินทางไกล หรือมาทำธุระในห้างสั้น ๆ
ROI
- ช่วยเพิ่มระยะเวลาการใช้บริการในห้าง
- ดึงดูดลูกค้ากลุ่มที่ใช้รถ EV โดยเฉพาะผู้ที่เลือกสถานที่ตามจุดชาร์จ
- สร้างรายได้เสริมจากค่าชาร์จ และเพิ่มการหมุนเวียนของลูกค้า
เคสที่ 3: ร้านอาหารและคาเฟ่ (เน้น AC Charger กำลังไฟกลางๆ)
พฤติกรรมการใช้งาน
ลูกค้ามักแวะรับประทานอาหาร หรือนั่งทำงานประมาณ 1 – 3 ชั่วโมง
ความเหมาะสม
- AC Charger ขนาด 7 – 11 kW เพียงพอแล้วสำหรับการชาร์จระหว่างทานอาหาร พักผ่อน หรือทำงาน เหมาะกับลักษณะการจอดไม่นาน
ROI
- เพิ่มแรงจูงใจให้ลูกค้ากลุ่มที่ใช้รถ EV เลือกมาใช้บริการที่ร้าน
- สร้างจุดขายเพิ่มเติมจากคู่แข่ง
- ยกระดับภาพลักษณ์ของร้านให้ทันสมัยและใส่ใจสิ่งแวดล้อม
เคสที่ 4: โรงแรมและรีสอร์ต (เหมาะกับ AC Charger เป็นหลัก)
พฤติกรรมการใช้งาน
แขกที่เข้าพักมักจอดรถทิ้งไว้ข้ามคืน หรือจอดเป็นเวลานานในช่วงที่ทำกิจกรรมต่าง ๆ ภายในโรงแรม
ความเหมาะสม
- AC Charger ขนาด 7 – 11 kW คือทางเลือกที่เหมาะสม เนื่องจากมีเวลาเพียงพอให้รถชาร์จเต็มขณะลูกค้าเข้าพัก
- ไม่จำเป็นต้องลงทุน DC Charger ซึ่งมีต้นทุนสูง เพราะไม่จำเป็นต้องชาร์จเร็ว
ROI
- เพิ่มคุณค่าบริการให้ที่พัก
- ดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่ที่ใช้รถยนต์ EV โดยเฉพาะนักท่องเที่ยว
- ลงทุนไม่สูง แต่ได้ผลตอบแทนในรูปแบบการเพิ่มความประทับใจและความจงรักภักดีจากลูกค้า
เคสที่ 5: ธุรกิจรถเช่า (DC Charger สำหรับรถใช้งานหมุนเวียนสูง)
พฤติกรรมการใช้งาน
ธุรกิจรถเช่ามักมีการใช้งานรถหมุนเวียนต่อเนื่องตลอดเวลา โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวหรือสนามบิน หลังจากคืนรถแล้วจะต้องรีบชาร์จให้เต็มพร้อมปล่อยให้ลูกค้ารายต่อไปใช้งานทันที
ความเหมาะสม
- DC Charger คือทางเลือกที่ตอบโจทย์มากที่สุด เพราะสามารถชาร์จรถจากระดับแบตต่ำถึง 80% ได้ภายในเวลาไม่ถึง 30 นาที เหมาะกับการใช้งานที่ต้องการความรวดเร็ว และหมุนเวียนรถให้พร้อมออกบริการได้หลายรอบต่อวัน
- อาจติดตั้ง AC Charger เพิ่มในบางจุดสำหรับการชาร์จช่วงกลางคืนหรือนอกเวลาทำการ
ROI
- ช่วยลด Downtime ของรถเช่า เพิ่มรอบการใช้งานต่อวัน
- ลดความเสี่ยงในการขาดรถให้บริการลูกค้า
- แม้ต้นทุนติดตั้งสูง แต่คืนทุนได้เร็วจากการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการเช่าและลดต้นทุนการเติมน้ำมันในระยะยาว
อ่านบทความน่าสนใจ:10 คุณสมบัติที่บริษัทรับติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าคุณภาพควรมี เจ้าของบ้านต้องรู้ก่อนติดตั้ง ev charger
เลือก EV Charger ให้ถูกจุด เพิ่มโอกาสให้ธุรกิจได้มากกว่าที่คิด
การเลือกประเภท EV Charger ที่เหมาะสมคือการวางแผนธุรกิจอย่างมีกลยุทธ์ทั้งในแง่ของพฤติกรรมการใช้งาน การลงทุนที่คุ้มค่า และผลตอบแทนที่ได้จากประสบการณ์ลูกค้า รวมถึงการยกระดับภาพลักษณ์ขององค์กรให้พร้อมต่อเทรนด์พลังงานสะอาดและยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต การใช้ AC Charger หรือ DC Charger จึงต้องพิจารณาตามประเภทของธุรกิจ ทุกกรณีล้วนมีโอกาสสร้างคุณค่าเพิ่มเติมได้หากเลือกระบบชาร์จให้เหมาะสมตั้งแต่ต้น
หากคุณกำลังมองหาพันธมิตรที่ไว้ใจได้ในการออกแบบ ติดตั้ง และบำรุงรักษาเครื่องชาร์จรถไฟฟ้า ให้ธุรกิจเดินหน้าได้อย่างมั่นใจณัฐภูมิ วิศวกรรม พร้อมให้บริการแบบครบวงจร โดยทีมวิศวกรมืออาชีพที่เชี่ยวชาญในระบบ EV Charging โดยเฉพาะ เราเลือกใช้เครื่องชาร์จรถไฟฟ้าแบรนด์คุณภาพสูงอย่างWallbox พร้อมวางระบบไฟฟ้าให้สอดคล้องกับความต้องการของสถานที่จริง และดำเนินการติดตั้งตามมาตรฐานสากลอย่างเคร่งครัด พร้อมบริการบำรุงรักษาและดูแลระบบในระยะยาว เพื่อให้คุณมั่นใจได้ในทุกการชาร์จทั้งในเรื่องของความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และความคุ้มค่าในการลงทุน
ปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ติดต่อเรา
หรือโทร 098-291-4911 และแอดไลน์@npeng
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการติดตั้ง EV Charger
1. ต้องใช้กำลังไฟฟ้าเท่าไรถึงจะติดตั้ง EV Charger ได้?
ขึ้นอยู่กับประเภทและจำนวนเครื่องชาร์จที่ต้องการติดตั้ง เช่น AC Charger ขนาด 7kW ต้องใช้กำลังไฟประมาณ 32 แอมป์ ต่อเครื่อง ส่วน DC Charger ขนาด 50 – 150 kW ขึ้นไป ต้องมีระบบไฟฟ้าที่รองรับการจ่ายกระแสสูง และอาจต้องปรับปรุงระบบไฟภายในอาคาร
2. การติดตั้ง EV Charger ต้องขออนุญาตหรือไม่?
หากมีการใช้ไฟฟ้าจากระบบสาธารณะหรือมีการปรับปรุงระบบไฟ อาจต้องขออนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น การไฟฟ้านครหลวงหรือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนเริ่มติดตั้ง
3. ค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง EV Charger โดยประมาณอยู่ที่เท่าไร?
ราคาขึ้นอยู่กับประเภทของเครื่องชาร์จ (AC หรือ DC), ยี่ห้อ, ขนาดของระบบ และโครงสร้างไฟฟ้าที่มีอยู่เดิม โดย AC Charger เริ่มต้นประมาณ 30,000 – 100,000 บาท ส่วน DC Charger อาจเริ่มที่หลักแสนจนถึงหลักล้านบาทต่อจุด
4. ถ้ามีแผนขยายธุรกิจในอนาคต ควรเตรียมระบบ EV Charger อย่างไรตั้งแต่แรก?
หากมีแผนจะเพิ่มจำนวนเครื่องชาร์จในอนาคต ควรวางแผนเผื่อระบบไฟฟ้าให้สามารถรองรับโหลดได้มากขึ้น รวมถึงออกแบบระบบสายไฟ ท่อร้อยสาย และจุดติดตั้งให้สามารถเพิ่มเติมเครื่องชาร์จได้โดยไม่ต้องรื้อระบบเดิม
5. การดูแลรักษา EV Charger ต้องทำอย่างไร และมีค่าใช้จ่ายหรือไม่?
โดยทั่วไปแล้ว EV Charger มีความทนทานสูง แต่เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการใช้งาน ควรมีการตรวจสอบระบบไฟ สภาพเครื่องชาร์จ และซอฟต์แวร์ควบคุมอย่างสม่ำเสมอ เช่น การทำความสะอาดหัวชาร์จ ตรวจสอบสายดิน และอัปเดตระบบหากมีเวอร์ชันใหม่