
PM ระบบไฟฟ้า สำคัญอย่างไร?
PM ระบบไฟฟ้า หรือ Preventive Maintenance คือ การดูแล บำรุงรักษา และตรวจสอบระบบไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอ โดยเป็นการตรวจสอบในทุกระบบ ทั้งการ PM ระบบไฟฟ้าทั่วไป และการ PM เครื่องจักร โดยผู้ตรวจสอบจะมีกำหนดระยะเวลาและการวางแผนตรวจระบบไฟฟ้าเอาไว้อย่างชัดเจน ซึ่งเป้าหมายหลักของการตรวจสอบระบบไฟฟ้านั้นเพื่อ
- ลดความเสี่ยงในการเกิดไฟฟ้าขัดข้องเฉียบพลัน
- ยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์
- เพิ่มประสิทธิภาพของระบบไฟฟ้า
- สร้างความมั่นใจในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
- เพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ที่ต้องปฏิบัติงานที่เกี่ยวกับไฟฟ้าและเครื่องจักร
การตรวจสอบระบบไฟฟ้าเป็นหัวใจสำคัญของการบริหารจัดการความเสี่ยงในโรงงาน อาคารสำนักงาน และสถานประกอบการทุกประเภท จึงเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการไม่ควรมองข้าม และต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างเคร่งครัด
อ่านบทความที่น่าสนใจ :PM ระบบสำรองไฟฟ้า UPS บำรุงรักษาอย่างไรให้พร้อมใช้งานเสมอ
7 ความผิดพลาดที่พบบ่อยในการทำ PM ระบบไฟฟ้า
หลายครั้งที่เกิดความผิดพลาดเกี่ยวกับการ PM ระบบไฟฟ้า แม้ว่าจะพยายามป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายแล้วก็ตาม ซึ่งความผิดพลาดของการตรวจสอบระบบไฟฟ้าที่พบบ่อยมีดังนี้
1. ไม่มีแผน PM ที่เป็นระบบ
หลายธุรกิจทำ PM ระบบไฟฟ้าตามสถานการณ์ เช่น ตรวจสอบเฉพาะเมื่ออุปกรณ์มีปัญหา หรือรอจนเกิดความเสียหายของระบบไฟฟ้าก่อน จึงวางแผนเริ่มบำรุงรักษา ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อการหยุดชะงักของการผลิต หรืออาจนำไปสู่การต้องหยุดผลิตสินค้าเพราะไม่สามารถใช้เครื่องจักรได้ ผลที่ตามมาคือค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงสูง และอาจกระทบต่อความปลอดภัยของบุคลากรที่ต้องปฏิบัติงาน
วิธีแก้ไข :
จัดทำแผน PM ให้ชัดเจน เช่น รายเดือน รายไตรมาส หรือรายปี โดยประเมินตามความเสี่ยงและความสำคัญของอุปกรณ์ อาจอ้างอิงจากคู่มือของอุปกรณ์ ประวัติการใช้งาน และสภาพของอุปกรณ์ในปัจจุบัน หรือใช้ตัวอย่างแผน PM เครื่องจักร เช่นตรวจสอบตู้ MDB ทุก 6 เดือนล้างแผงโซล่าเซลล์ทุกปี และตรวจจุดต่อสายเครื่องจักรทุกจุดในทุกไตรมาส

2. ขาดบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง
ตามข้อกฎหมายแล้ว การตรวจสอบระบบไฟฟ้าจำเป็นต้องตรวจสอบโดย วิศวกรไฟฟ้าที่มีใบอนุญาตและมีความเข้าใจในการ PM ระบบไฟฟ้า แต่หลายองค์กรกลับเลือกมอบหมายหน้าที่นี้ให้ช่างทั่วไปที่ไม่มีความรู้เชิงลึกเฉพาะทาง หรือไม่มีใบอนุญาต ทำให้การบำรุงรักษาขาดความแม่นยำและปลอดภัย ซึ่งข้อผิดพลาดที่พบบ่อยจากกรณีนี้ เช่น ตรวจสอบข้อผิดพลาดผิดจุด อ่านค่าไฟฟ้าผิดพลาด พลาดการตรวจสอบจุดที่มีไฟรั่ว ซึ่งอาจก่อให้เกิดไฟฟ้าช็อตหรือไฟไหม้
วิธีแก้ไข :
ให้ความสำคัญกับการว่าจ้างบริษัทที่มีทีมวิศวกรไฟฟ้าที่มีใบอนุญาตและประสบการณ์ตรง และมีบริการตรวจสอบระบบไฟฟ้าโดยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น
สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับงาน PM ระบบไฟฟ้า ติดต่อNutthaphume Engineering
3. ตรวจสอบเฉพาะอุปกรณ์หลัก ละเลยอุปกรณ์รอง
การตรวจสอบระบบไฟฟ้าจากบุคลากรทั่วไป อาจให้ความสนใจเฉพาะหม้อแปลง หรือ Main Distribution Board (MDB) ซึ่งเป็นพื้นฐานของ Preventive Maintenance เพียงอย่างเดียว แต่ละเลยการตรวจสอบเซอร์กิตเบรกเกอร์ ตู้โหลด สายดิน หรือระบบสายไฟย่อย ทำให้จุดเสื่อมสภาพถูกมองข้าม และอาจเกิดไฟฟ้าลัดวงจร ความร้อนสะสม หรือนำไปสู่ปัญหาไฟไหม้ได้
วิธีแก้ไข :
เพื่อความปลอดภัยจัดทำ Checklist ครอบคลุมทั้งระบบ ไม่เฉพาะอุปกรณ์หลัก เช่น
- จุดต่อสายทุกจุด
- สายดินและระบบกราวด์
- ระบบสำรองไฟ
- ระบบแจ้งเตือนไฟรั่ว
4. ใช้เครื่องมือวัดไม่เหมาะสม
บ่อยครั้งที่เกิดความผิดพลาดจากผู้ตรวจสอบ เลือกใช้เครื่องมือเก่า ไม่ได้มาตรฐาน หรือตรวจสอบด้วยสายตาโดยไม่ใช้เครื่องมือวัดที่เหมาะสม ทำให้เกิดข้อมูลคลาดเคลื่อน และประเมินสภาพของระบบไฟฟ้าผิดพลาด ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาของระบบไฟฟ้าที่เสี่ยงต่ออันตราย และความเสียหายในระดับที่รุนแรงได้
วิธีแก้ไข :
ใช้เทคโนโลยีตรวจสอบที่ทันสมัย เช่น
- Thermal Imaging Camera เพื่อตรวจจุดร้อน
- Power Quality Analyzer เพื่อตรวจวิเคราะห์คุณภาพไฟฟ้า
- Earth Tester ตรวจความต้านทานของระบบกราวด์
นอกจากใช้เครื่องมือที่ทันสมัย และเหมาะสมกับอุปกรณ์ที่ต้องการตรวจสอบแล้ว ควรสอบเทียบเครื่องมือวัดอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อให้ค่าที่ได้มีความน่าเชื่อถือและแม่นยำมากที่สุดด้วย

5. ขาดการสื่อสารกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ทีมงาน PM เข้าตรวจสอบระบบไฟฟ้าในโรงงานอุตสาหกรรมโดยไม่ประสานกับฝ่ายปฏิบัติการ หรือผู้ใช้งานจริงของเครื่องจักร ทำให้ต้องหยุดระบบการทำงานนานเกินจำเป็น และอาจเกิดความขัดแย้งในการใช้งานอุปกรณ์หรือเครื่องจักรได้
วิธีแก้ไข :
ควรวางแผนร่วมกันระหว่างวิศวกร ฝ่ายผลิต และฝ่ายซ่อมบำรุง โดยการจัดตารางเวลาที่เหมาะสมสำหรับการ PM เครื่องจักร และไม่รบกวนกระบวนการทำงาน พร้อมรายงานผลหลังการตรวจสอบอย่างเป็นระบบในแต่ละฝ่าย
6. ไม่มีอะไหล่สำรองที่จำเป็น
หลังจากทำการ PM ระบบไฟฟ้า หากพบว่ามีอุปกรณ์ชำรุดแล้วไม่มีอะไหล่เปลี่ยน ทำให้ต้องรอการจัดซื้อหรือจัดหาอุปกรณ์ทดแทน ส่งผลให้ระบบต้องหยุดเป็นเวลานาน ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อสายการผลิตในโรงงาน ที่ต้องใช้เครื่องจักรอุตสาหกรรมในการผลิตอยู่ตลอดเวลา
วิธีแก้ไข :
จัดทำรายการอะไหล่สำรองขั้นต่ำ (Spare Parts List) สำหรับอุปกรณ์สำคัญ เช่น เบรกเกอร์ ฟิวส์ คาปาซิเตอร์ ขั้วต่อสายไฟ รวมถึงอุปกรณ์สำคัญในการขับเคลื่อนเครื่องจักร และควรมีการตรวจสต็อกอย่างสม่ำเสมอเพื่ออัปเดตจำนวนอุปกรณ์
7. ไม่ประเมินและปรับปรุงระบบให้ทันสมัย
หลายองค์กรยังคงใช้ระบบไฟฟ้าแบบเดิมเป็นระยะเวลาหลายปี และไม่ได้ให้ความสำคัญกับการปรับปรุง หรืออัปเดตระบบใหม่ ซึ่งอาจส่งผลเสียในเรื่องของระบบไฟฟ้าไม่มีประสิทธิภาพ การทำงานไม่เสถียร และอาจมีค่าใช้จ่ายในการใช้ไฟฟ้าที่สูงขึ้นได้
วิธีแก้ไข :
ควรทำการประเมินระบบไฟฟ้าทุก 2-3 ปี และพิจารณาปรับปรุงระบบใหม่ในบางอุปกรณ์ เช่น
- เปลี่ยนเบรกเกอร์รุ่นใหม่ที่มีระบบตัดไฟอัตโนมัติ
- พิจารณาติดตั้งSolar Rooftop เพื่อลดโหลดไฟฟ้าจากการไฟฟ้า และช่วยลดค่าใช้จ่ายในการใช้ไฟฟ้าในระยะยาว
- วางระบบสำรองไฟอัตโนมัติด้วย UPS หรือ Generator

PM ระบบไฟฟ้าแบบไร้กังวล โดย วิศวกรไฟฟ้าผู้เชี่ยวชาญ ที่ณัฐภูมิ วิศวกรรม
การทำ PM ระบบไฟฟ้า ไม่ใช่แค่การตรวจเช็กสายไฟ แต่คือการวางระบบจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันความเสียหายและเพิ่มความปลอดภัยก่อนที่จะเกิดความเสียหายขึ้น การตรวจสอบระบบไฟฟ้าจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ช่วยลดความผิดพลาดจากระบบไฟฟ้า พร้อมทั้งเพิ่มศักยภาพในการผลิตกำลังไฟฟ้าและสินค้าของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
หากธุรกิจของคุณกำลังมองหาพาร์ตเนอร์ที่สามารถออกแบบ วางแผน และดูแลระบบไฟฟ้าได้แบบครบวงจร ณัฐภูมิ วิศวกรรม พร้อมให้บริการด้วยทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ ครอบคลุมทั้งงาน PM ระบบไฟฟ้า งานออกแบบและติดตั้งระบบไฟฟ้าแรงสูง และงานติดตั้งระบบโซล่าเซลล์
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อเรา หรือโทร 098-291-4911
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการ PM ระบบไฟฟ้า (FAQ)
เพื่อไขข้อสงสัยเกี่ยวกับการทำ PM ระบบไฟฟ้า เราได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยต่อไปนี้มาบอกให้ได้ทราบกัน
1. Preventive Maintenance คืออะไร ต่างจากการซ่อมทั่วไปอย่างไร?
Preventive Maintenance คือการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน โดยตรวจสอบระบบก่อนเกิดปัญหา ต่างจากการซ่อมเมื่อระบบเสียแล้ว ซึ่งมักมีค่าใช้จ่ายและผลกระทบในระยะยาวมากกว่า
2. ควรทำ PM ระบบไฟฟ้าบ่อยแค่ไหน?
แนะนำให้ตรวจสอบระบบหลักทุก 6 เดือน – 1 ปี ขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งานและความเสี่ยงของระบบ
3. ถ้าไม่มีทีมวิศวกรในบริษัท ควรเริ่มจากอะไร?
ควรเลือกผู้ให้บริการที่มีใบอนุญาตและประสบการณ์ เพื่อเข้าประเมินและจัดทำแผน PM ที่เหมาะสม
4. อุปกรณ์ขนาดเล็กอย่าง เซอร์กิตเบรกเกอร์ จำเป็นต้องตรวจสอบหรือไม่?
‘จำเป็น’ เพราะอุปกรณ์เล็ก ๆ เหล่านี้เป็นจุดตัดไฟในกรณีฉุกเฉิน หากเสื่อมสภาพจะไม่สามารถตัดไฟได้ทันเวลา ทำให้เกิดความเสียหายได้
5. ค่าใช้จ่ายในการทำ PM สูงหรือไม่?
ค่าใช้จ่ายขึ้นอยู่กับขนาดของระบบและความถี่ในการตรวจสอบ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับค่าเสียหายจากการหยุดระบบฉุกเฉินแล้ว การทำ PM ระบบไฟฟ้าถือว่าคุ้มค่ากว่า
